อ.กิจขจร ลิ่วเฉลิมวงศ์
เทศนา คริสตจักรชีวิตรุ่งเรือง(GLC:H.I.M.) อาทิตย์ที่ 7ก.พ.2021
ศคย.4:1-14 ความสำเร็จตามพระประสงค์
1. เกิดขึ้นโดยพระวิญญาณของพระเจ้า (1-6)
2. เกิดขึ้นโดยร่วมมือกับผู้นำของพระเจ้า (7-10)
3. เกิดขึ้นโดยร่วมมือกับพระคริสต์และคริสตจักรของพระเจ้า (11-14)
นิมิตที่ห้าเรื่องเชิงตะเกียงและต้นมะกอก
1“และทูตสวรรค์ที่สนทนากับข้าพเจ้ามาอีก และปลุกข้าพเจ้าเหมือนคนที่เพิ่งตื่นจากการนอนของเขา 2และท่านถามข้าพเจ้าว่า ‘เจ้าเห็นอะไร?’ ข้าพเจ้าตอบว่า ‘ข้าพเจ้าเห็นเชิงตะเกียงทำด้วยทองคำล้วนอันหนึ่งมีชามอยู่ที่ยอด และมีตะเกียงอยู่บนนั้น 7 ดวง และมีท่อ 7 ท่อนำไปยังตะเกียงซึ่งอยู่บนยอดนั้นดวงละท่อ 3และมีต้นมะกอก 2 ต้นอยู่ข้างๆ อยู่เบื้องขวาชามนั้นต้นหนึ่ง อยู่เบื้องซ้ายต้นหนึ่ง’ 4และข้าพเจ้าถามทูตสวรรค์ผู้ที่สนทนากับข้าพเจ้าว่า ‘นายเจ้าข้า นี่คืออะไร?’ 5ทูตสวรรค์ที่สนทนากับข้าพเจ้าตอบข้าพเจ้าว่า ‘นี่คืออะไร? เจ้าไม่ทราบหรือ?’ ข้าพเจ้าตอบว่า ‘นายเจ้าข้า ข้าพเจ้าไม่ทราบ’ 6แล้วท่านจึงตอบข้าพเจ้าว่า ‘นี่เป็นพระวจนะของพระยาห์เวห์ที่ให้ไว้กับเศรุบบาเบลว่า ไม่ใช่ด้วยกำลัง ไม่ใช่ด้วยฤทธานุภาพ แต่ด้วยวิญญาณของเรา พระยาห์เวห์จอมทัพตรัสดังนี้แหละ 7โอ ภูเขาใหญ่ เจ้าเป็นอะไรเล่า? ต่อหน้าเศรุบบาเบล เจ้าจะเป็นที่ราบ และเขาจะนำศิลาก้อนที่อยู่ยอดมาท่ามกลางการโห่ร้องว่า “งามจริง งามจริง” ’ 8“ยิ่งกว่านั้นพระวจนะของพระยาห์เวห์มายังข้าพเจ้ากล่าวว่า 9มือของเศรุบบาเบลได้วางรากฐานของพระนิเวศนี้ และมือของเขาจะสร้างให้สำเร็จ (‘แล้วพวกเจ้าจึงจะทราบว่า พระยาห์เวห์จอมทัพได้ใช้ข้าพเจ้ามาหาเจ้า 10ใครจะดูหมิ่นวันแห่งการเล็กน้อย? เขาจะเปรมปรีดิ์เมื่อได้เห็นสายดิ่งที่อยู่ในมือของเศรุบบาเบล’)‘ทั้งเจ็ดนี้คือบรรดาพระเนตรของพระยาห์เวห์ซึ่งมองอยู่ทั่วพิภพ’ 11แล้วข้าพเจ้าจึงถามท่านว่า ‘ต้นมะกอก 2 ต้นที่อยู่ข้างขวาและข้างซ้ายของเชิงตะเกียงนั้นคืออะไร?’ 12และข้าพเจ้าถามท่านเป็นครั้งที่สองว่า ‘กิ่งทั้งสองของต้นมะกอก ซึ่งอยู่ข้างท่อทองคำทั้งสอง ซึ่งเทน้ำมันออกนั้นคืออะไร?’ 13ท่านพูดกับข้าพเจ้าว่า ‘เจ้าไม่ทราบหรือว่า เหล่านี้คืออะไร?’ ข้าพเจ้าตอบว่า ‘นายเจ้าข้า ข้าพเจ้าไม่ทราบ’ 14แล้วท่านจึงกล่าวว่า ‘ทั้งสองนี้คือผู้ที่ได้รับการเจิมเป็นผู้ยืนอยู่ข้างองค์เจ้านายของพิภพทั้งสิ้น’
หลังกฤษฎีกาของไซรัส กษัตริย์แห่งเปอร์เซียในปี 539 กคศ. ประกาศปลดปล่อยเชลยให้กลับไปยังถิ่นฐานของตน (2พศด.36:22-23, อสร.1:1-3)
ชาวยิวกลุ่มแรกในบาบิโลนเกือบห้าหมื่นคนก็ได้เดินทางกลับสู่เยรูซาเล็มภายใต้การนำของเศรุบบาเบลเชื้อพระวงศ์ยูดาห์และ โยชูวาปุโรหิต (อสร.2:2; 64) ในปีแรกพวกเขาได้สร้างแท่นบูชาขึ้นใหม่และเริ่มถวายเครื่องบูชา (อสร.3:1-6)
ปีต่อมาก็ได้เริ่มวางรากฐานของพระวิหารขึ้นในที่ตั้งเดิม (อสร.3:8-13) ซึ่งเคยเป็นวิหารของซาโลมอนแต่ถูกเผาทำลายเมื่อครั้งกองทัพของเนบูคัดเนสซาร์โจมตี (2พกษ.25:8-9)
แต่แล้วเวลาผ่านไปกว่า 16 ปี พระวิหารหลังที่สองนี้ก็ยังคงสร้างไม่เสร็จ (อสร.5:16) เพราะชาวยิวเผชิญกับการต่อต้านและขัดขวางจากประชาชนในแผ่นดินนั้น (อสร.4:4-5) จิตใจภายในของพวกเขาหรือแม้แต่ของผู้นำอย่างเศรุบบาเบลก็ท้อถอยใจ แม้พวกเขาจะได้รับการปลดปล่อยให้กลับจากการเป็นเชลยภายหลัง 70 ปี ตามพระสัญญาของของพระเจ้าที่ตรัสผ่านเยเรมีย์ผู้เผยพระวจนะแล้วก็ตาม (ยรม.25:11, 29:10)
ช่วงเวลาที่ชาวยิวตกเป็นเชลย พวกเขาได้เรียนรู้ถึงบาปผิดของพวกเขาที่ทอดทิ้งพระเจ้า และรับการพิพากษาที่ให้ตกเป็นเชลยในดินแดนของศัตรู ช่วงเวลานั้น จิตวิญญาณของชาวยิวรู้สึกสำนึกผิด ตกต่ำลงและต้องการการรื้อฟื้น ถึงกระนั้น การได้กลับมายังเยรูซาเล็มตามพระสัญญาเพื่อสร้างพระวิหารของพระเจ้าขึ้นใหม่ก็ยังไม่คืบหน้าไปด้วยเพราะการถูกข่มเหงจากภายนอกและสภาพจิตวิญญาณภายในที่ท้อถอย
ในช่วงเวลานี้เอง พระเจ้าได้ใช้ผู้เผยพระวจนะ 2 คน คือ ฮักกัยและเศคาริยาห์ให้หนุนใจประชาชนให้สร้างพระวิหารต่อให้สำเร็จ (ศคย.1:1) การสร้างพระวิหารขึ้นใหม่เป็นแผนการรื้อฟื้นประชากรของพระเจ้า และเล็งถึงพระสัญญาแห่งการไถ่ที่พระเจ้าจะรื้อฟื้นประชากรของพระองค์และทุกสิ่งให้กลับสู่สภาพดีผ่านทางพระเยซูคริสต์
คำเผยพระวจนะของเศคาริยาห์ให้ความหวังในการรื้อฟื้นของพระเจ้าและหนุนใจประชาชนให้กลับมาสร้างพระวิหารต่อ และนิมิตหลายตอนของ เศคาริยาห์เปิดเผยถึงพระเมสสิยาห์ที่จะเสด็จมาช่วยกู้พวกเขาในอนาคต
ในส่วนแรกของพระธรรมเศคาริยาห์ (บทที่1-6) กล่าวถึงนิมิตแปดอย่างที่พระเจ้าทรงสำแดงกับเศคาริยาห์อย่างต่อเนื่องในค่ำคืนหนึ่ง นิมิตเหล่านี้เปิดเผยพระประสงค์ของพระเจ้า
(1)ที่จะทรงหันมาเมตตาต่อกรุงเยรูซาเล็ม (1:14-16)
(2)จะบูรณะฟื้นฟูอิสราเอลที่ถูกทำลายไปนั้นขึ้นมาใหม่ทั้งในด้าน
(ก)กายภาพความเป็นอยู่ (1:16; 2:4)
(ข)การรื้อฟื้นด้านจิตวิญญาณ (3:1-5)
(ค)การสร้างพระนิเวศที่พังทลายนั้นขึ้นมาใหม่ (4:6-9)
คำเทศนานี้ อยู่ในนิมิตที่ 5 เรื่องเชิงตะเกียงและต้นมะกอก เปิดเผยข่าวสารแห่งความหวังและให้ความมั่นใจว่างานสร้างพระนิเวศที่พระเจ้ามอบไว้ในมือของเศรุบบาเบลจะสำเร็จอย่างแน่นอน
การรื้อฟื้นที่แท้จริง ไม่ได้สนใจแต่เพียงสภาพภายนอกทางกายภาพเท่านั้น การรื้อฟื้นจากพระเจ้าเริ่มต้นจากรื้อฟื้นสภาพจิตวิญญาณภายใน คำเตือนในบทที่ 1 เศคาริยาห์เรียกให้ชาวยิวกลับใจ อย่าทำตามบาปของบรรพบุรุษที่ทำสิ่งชั่วร้าย ไม่เชื่อฟังพระเจ้า เพิกเฉยต่อคำเตือนที่ผ่านมาทางผู้เผยพระวจนะของพระองค์โดยตลอด เป็นเหตุให้ทรงพระพิโรธและพิพากษาพวกเขาในที่สุด
เศคาริยาห์ 1:3 เพราะฉะนั้น จงกล่าวแก่เขาทั้งหลายว่า พระยาห์เวห์จอมทัพตรัสดังนี้ว่า จงกลับมาหาเรา พระยาห์เวห์จอมทัพตรัสดังนี้แหละ แล้วเราจะกลับมาหาเจ้า พระยาห์เวห์จอมทัพตรัสดังนี้แหละ
ศคย1:6 ภาพใหญ่ของพระธรรมเล่มนี้
แต่ถ้อยคำของเราและกฎเกณฑ์ของเรา ซึ่งเราได้บัญชาแก่ผู้เผยพระวจนะผู้รับใช้ของเรา ก็ได้ติดตามบรรพบุรุษของเจ้าทันไม่ใช่หรือ? จนเขากลับใจแล้วกล่าวว่า ‘พระยาห์เวห์จอมทัพทรงทำแก่เราตามความประพฤติของเราโดยพระประสงค์ของพระองค์ ”
หัวข้อคำเทศน์วันนี้คือ “ความสำเร็จตามประสงค์”
1. เกิดขึ้นโดยพระวิญญาณของพระเจ้า (1-6)
เศคาริยาห์ได้เห็นนิมิตที่ต่อเนื่องกันแปดเรื่องในคืนเดียวกัน(ข้อสังเกตจากคำว่า “และ” ต่อเนื่องตั้งแต่นิมิตที่หนึ่งถึงนิมิตที่แปด) นิมิตที่สี่ก่อนหน้านี้เปิดเผยให้เห็นถึงการชำระบาปมลทินของ
โยชูวามหาปุโรหิตให้พร้อมทำหน้าที่มหาปุโรหิตต่อพระพักตร์พระเจ้า จากนั้น ทูตสวรรค์ได้ปลุกเศคาริยาห์ให้ตื่นขึ้นจากภวังค์เพื่อให้เขาได้เห็นนิมิตอีกอันหนึ่ง
เศคาริยาห์เห็นคันประทีปทองคำที่มีตะเกียงเจ็ดดวง ไฟบนตะเกียงนั้นถูกจุดให้สว่างอยู่ตลอดเวลาเพราะมีน้ำมันจากชามเหนือเชิงตะเกียงนั้นส่งผ่านท่อทั้งเจ็ดมาหล่อเลี้ยงอย่างไม่จำกัด (ข้อ 2-3) ขณะที่เศคาริยาห์ได้เห็น เขาก็ยังไม่เข้าใจความหมาย ทูตสวรรค์ได้กล่าวต่อไปเพื่อให้เศคาริยาห์เผยพระวจนะนี้แก่เศรุบบาเบล
6แล้วท่านจึงตอบข้าพเจ้าว่า ‘นี่เป็นพระวจนะของพระยาห์เวห์ที่ให้ไว้กับ เศรุบบาเบลว่า ไม่ใช่ด้วยกำลัง ไม่ใช่ด้วยฤทธานุภาพ แต่ด้วยวิญญาณของเรา พระยาห์เวห์จอมทัพตรัสดังนี้แหละ
คำว่า วิญญาณ ภาษาฮีบรู มาจากคำว่า รูอัค ruach (רוּחַ) หมายถึง ลมหายใจ, ลม, หรือวิญญาณ ในบริบทนี้ให้ความหมายถึง พระวิญญาณของพระเจ้า เป็นผู้ทำให้สำเร็จ
ผู้ฟังสมัยนั้นเข้าใจว่า เป็นการทรงสถิตย์ของพระเจ้าท่ามกลางประชากรของพระองค์ ผู้เผยวจนะเผยถึงการรื้อฟื้นของพระเจ้า ท่ามกลางชนชาติของพระองค์ และพระเจ้ากำลังจะทำตามพระสัญญาของพระองค์ทั้งหมดให้สำเร็จ ตีความว่า การเป็นเชลยจะสิ้นสุดลง พวกเขาจะได้กลับสู่ดินแดนแห่งพันธสัญญา
พระประสงค์ของพระเจ้า คือ ต้องการนำคนของพระเจ้ากลับสู่สภาพดี ในเวลานั้นคือ การพ้นจากการเป็นทาสอัสซีเรีย บาบิโลน มีเดียเปอร์เซีย จากการเป็นเชลยในบาบิโลน ให้กลับไปยังดินแดนพันธสัญญาคือ เยรูซาเล็ม แผนการย่อยคือ การให้ผู้เผยวจนะหนุนใจ คนของพระเจ้า ผู้นำของพระเจ้า ในการทำตามพระประสงค์
พระเจ้าจะทำให้แผนการของพระองค์สำเร็จไม่ใช่ด้วยกำลังของมนุษย์หรือเรี่ยวแรงของคนจำนวนมาก และไม่ใช่ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจใด ๆ แต่ด้วยการจัดเตรียมอย่างบริบูรณ์ของพระวิญญาณของพระเจ้า
พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็น “น้ำมัน” ที่หล่อเลี้ยงเชิงตะเกียงนี้อย่างต่อเนื่อง
“เชิงตะเกียง” ในเวลานั้น หมายถึงอิสราเอลประชากรของพระเจ้า พวกเขาต้องทำบทบาทเหมือนตะเกียงที่ส่องสว่างให้คนต่างชาติได้รู้จักพระเจ้าของพวกเขา เชิงตะเกียงของพวกเขาต้องถูกจุดไฟให้สว่างไสวอยู่ตลอดเวลาและมีน้ำมันส่งมาหล่อเลี้ยงอย่างไม่ขาดสาย สิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้ก็โดยการจัดเตรียมของพระวิญญาณของพระเจ้า
คนส่วนใหญ่คิดว่าถ้าจะสร้างพระวิหารให้สำเร็จได้ต้องมีอำนาจ ต้องมีเงินมาก ต้องมีกำลังคนมาก แต่พระวจนะตอนนี้พระเจ้ายืนยันว่างานสร้างพระวิหารจะสำเร็จได้ด้วยการจัดเตรียมของพระวิญญาณของพระองค์
ความสำเร็จที่เกิดขึ้นโดยพระวิญญาณของพระเจ้า และในเวลาของพระเจ้า
ไม่ใช่มนุษย์วางแผนเองได้ หรือกำหนดความสำเร็จนั้นเองได้ ในสมัยเป็นเชลยใครจะเปลี่ยนใจกษัตริย์ไซรัสให้ปล่อยเชลยได้
เรารู้ช่วงเวลาการเผยวจนะของ ศคย. อยู่ในสมัยของกษัตริย์ ดาริอัส ปีที่ 2-4 (หลังยุคสมัยไซรัส เพราะการเป็นเชลยสิ้นสุดลงแล้ว อิสราเอลได้กลับไปเยรูซาเล็ม)
อิสยาห์ 45:1 1 พระยาห์เวห์ตรัสกับผู้ที่พระองค์ทรงเจิมไว้ คือ ไซรัส ผู้ซึ่งเราทำให้มือขวาของเขาแข็งแกร่ง เพื่อปราบบรรดาประชาชาติที่อยู่ข้างหน้าเขา…
อิสยาห์เรียก ไซรัส กษัตริย์คนมีเดียเปอร์เซียว่าเป็น “ผู้ที่พระองค์ทรงเจิมไว้” หรือ “ผู้เลี้ยงแกะของเรา” (ในอสย.44:28) แม้ว่า ไซรัสเป็นคนต่างชาติและไม่รู้จักพระเจ้า (อสย.45:4ข) แต่พระเจ้าก็ทรงสามารถใช้ไซรัสกษัตริย์ต่างชาติให้ทำตามพระประสงค์ของพระองค์ได้
พระเจ้าทรงมีอำนาจอธิปไตยสูงสุด พระองค์สามารถใช้ใครก็ได้ให้ตามทำตามแผนการของพระองค์ แม้แต่การยกไซรัส (หรือยกดาริอัส) ให้มีอำนาจครอบครองในเวลานั้นก็อยู่ในแผนการณ์ของพระองค์ด้วย (อสย.45:2-4) เพื่อที่พระองค์จะใช้ให้ไซรัสเป็น “ผู้ปลดปล่อย” ประชากรของพระเจ้าให้กลับถิ่นฐานตามแผนการที่ทรงดำริไว้ว่าจะไถ่อิสราเอลในเวลาที่กำหนด (อสย.43:1) ไซรัสอาจจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ได้ว่ากำลังเป็นเครื่องมือของพระเจ้าในการทำให้แผนการไถ่ของพระองค์สำเร็จก้าวหน้าไปอีกขั้น
แม้ว่าได้กลับมาจากการเป็นเชลยแล้ว แต่การต่อต้านจากคนต่างชาติและความท้อถอยใจของอิสราเอลทำให้งานสร้างพระนิเวศต้องหยุดชะงักไปถึง 16 ปี แต่พระเจ้าไม่ได้ทรงนิ่งเฉยในแผนการณ์ของพระองค์ พระองค์ทรงดลใจและใช้ให้ผู้เผยพระวจนะ ฮักกัยและเศคาริยาห์มาเผยพระวจนะเพื่อยืนยันว่าพระเจ้าทรงสถิตกับผู้นำและประชาชนและจะทรงสนับสนุนให้พวกเขาสร้างพระวิหารสำเร็จ เศรุบาเบลและโยชูวาได้ตอบสนองพระวจนะของพระเจ้าโดยทำการก่อสร้างพระวิหารต่อไปจนสำเร็จ
อสร.5:1 ส่วนผู้เผยพระวจนะฮักกัยและเศคาริยาห์บุตรอิดโด ได้เผยพระวจนะแก่พวกยิวผู้อยู่ในยูดาห์และเยรูซาเล็มในพระนามของพระเจ้าแห่งอิสราเอลผู้สถิตเหนือพวกเขา
อสร.5:5 แต่พระเนตรของพระเจ้าของเขาทั้งหลายอยู่เหนือพวกผู้ใหญ่ของพวกยิว และเขาก็ยับยั้งเขาทั้งหลายไม่ได้จนกว่าเรื่องนี้จะทราบถึงดาริอัส และมีคำตอบเป็นหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนี้มา
แม้ต่อมาเมื่อทัธเทนัย ผู้ว่าราชการมณฑลฯ และผู้ช่วยของเขากล่าวทักท้วงเรื่องการก่อสร้างพระวิหารขึ้นใหม่ แต่ก็ไม่สามารถยับยั้งการก่อสร้างได้ พวกเขาจึงส่งหนังสือทักท้วงไปถึงกษัตริย์ ดาริอัสในเปอร์เซีย
ในที่สุด กษัตริย์ได้มีหนังสืออนุญาตอย่างเป็นทางการมา พร้อมทั้งสั่งให้พวกข้าราชการของมณฑลให้การสนับสนุนอิสราเอลทั้งเงินค่าก่อสร้าง วัสดุในการก่อสร้างและสิ่งต่าง ๆ ที่จำเป็นเพื่อจะให้มีการถวายบูชาที่พระวิหารขึ้นมาอีกครั้ง และเพื่อพวกยิวจะได้อธิษฐานเพื่อกษัตริย์ของเปอร์เซียด้วย
อสร.6:6-11 “เพราะฉะนั้นทัทเธนัยผู้ว่าราชการมณฑลฟากแม่น้ำข้างตะวันตก เชธาร์โบเซนัย และผู้ร่วมงานของท่านที่เป็นผู้ตรวจราชการซึ่งอยู่ในมณฑลฟากแม่น้ำข้างตะวันตก จงไปเสียให้ห่างเถิด 7 จงปล่อยให้งานสร้างพระนิเวศของพระเจ้าดำเนินไปเถิด ให้ผู้ว่าราชการของพวกยิว และพวกผู้ใหญ่ของพวกยิวสร้างพระนิเวศของพระเจ้านี้ในที่เดิมขึ้นใหม่ 8 ยิ่งกว่านั้นอีก เราออกกฤษฎีกาเกี่ยวกับสิ่งที่พวกท่านพึงทำเพื่อพวกผู้ใหญ่ของพวกยิวในการสร้างพระนิเวศของพระเจ้า ให้ชำระเงินค่าก่อสร้างแก่คนเหล่านี้เต็มจำนวน เอาเงินจากราชทรัพย์ คือบรรณาการของมณฑลฟากแม่น้ำข้างตะวันตกเพื่องานจะไม่หยุดชะงัก 9 และสิ่งใดๆ ที่เขาต้องการเช่น วัวหนุ่ม แกะผู้ หรือแกะสำหรับเครื่องบูชาเผาทั้งตัวถวายพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ ทั้งข้าวสาลี เกลือ เหล้าองุ่นหรือน้ำมัน ตามที่พวกปุโรหิตในเยรูซาเล็มกำหนดไว้ ให้มอบแก่เขาเป็นวันๆ ไปอย่าได้ขาด 10 เพื่อเขาจะได้ถวายเครื่องสัตวบูชา อันเป็นที่พอพระทัยแก่พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ และให้อธิษฐานเพื่อชีวิตของกษัตริย์และโอรสของพระองค์ 11 และเราออกกฤษฎีกาว่า ถ้าใครเปลี่ยนแปลงประกาศิตนี้ ก็ให้ดึงไม้ใหญ่อันหนึ่งออกเสียจากบ้านของเขาและให้เสียบเขาไว้บนไม้นั้น และให้บ้านของเขาเป็นกองขยะเพราะเรื่องนี้
โดยการจัดเตรียมของพระเจ้า พระองค์สามารถเคลื่อนอุปสรรคปัญหาที่เป็นเหมือนภูเขาใหญ่ให้พังราบเรียบลงไปได้
2. เกิดขึ้นโดยร่วมมือกับผู้นำของพระเจ้า (7-10)
เศคาริยาห์ 4:7ข โอ ภูเขาใหญ่ เจ้าเป็นอะไรเล่า? ต่อหน้าเศรุบบาเบล เจ้าจะเป็นที่ราบ และเขาจะนำศิลาก้อนที่อยู่ยอดมาท่ามกลางการโห่ร้องว่า “งามจริง งามจริง” ’
พระวจนะตอนนี้เพื่อยืนยันกับเศรุบบาเบลว่า ปัญหาอุปสรรคขัดขวางจะถูกทำให้หมดไปต่อหน้าของเศรุบาเบล
พระคัมภีร์ใช้ภาพ “ภูเขาใหญ่” เปรียบเหมือนอุปสรรคปัญหาใหญ่ก่อนหน้านี้ที่มาจากการต่อต้านของพวกต่างชาติ (อสร.4:1-5, 24) และความไม่เต็มใจพยายามของประชาชนที่จะสร้างพระวิหารให้สำเร็จ (เทียบกับ ฮกก. 1:14; 2:1-5) แต่พระเจ้ายังยืนยันว่า เศรุบาเบลจะทำหน้าที่เป็นผู้นำประชาชนในการสร้างพระวิหารนี้ให้สำเร็จ
เช่นเดียวกับที่ผู้เผยพระวจนะฮักกัยก็ยืนยันพระประสงค์ของพระเจ้าและให้ความมั่นใจกับเศรุบบาเบลและโยชูวาในทำงานนี้
ฮักกัย 2:4-5 4พระยาห์เวห์ตรัสว่า แต่บัดนี้ เศรุบบาเบลเอ๋ย จงเข้มแข็งเถิด มหาปุโรหิตโยชูวาบุตรเยโฮซาดักเอ๋ย จงเข้มแข็งเถิด และประชาชนทั้งสิ้นของแผ่นดินเอ๋ย จงเข้มแข็งเถิด พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้แหละ พระยาห์เวห์จอมทัพตรัสว่า จงทำงานเถิด เพราะเราอยู่กับเจ้าทั้งหลาย 5ตามคำสัญญาที่เราได้ทำไว้กับพวกเจ้าเมื่อเจ้าทั้งหลายออกจากอียิปต์ และวิญญาณของเราดำรงอยู่ท่ามกลางพวกเจ้า อย่ากลัวเลย
เศคาริยาห์ 4:7ค โอ ภูเขาใหญ่ เจ้าเป็นอะไรเล่า? ต่อหน้าเศรุบบาเบล เจ้าจะเป็นที่ราบ และเขาจะนำศิลาก้อนที่อยู่ยอดมาท่ามกลางการโห่ร้องว่า “งามจริง งามจริง” ’
“ศิลาก้อนที่อยู่ยอด” (4:7) หรือ the top stone มาจากคำฮีบรูว่า pinnah (פִּנָּה) แปลตรงตัวว่า “หัวของมุม” ภาษาอังกฤษใช้ว่า corner stone และมักจะใช้เพื่อหมายถึง “หัวหน้าผู้ปกครอง”
“ศิลาก้อนที่อยู่ยอด” ทำหน้าที่เป็นหินก้อนสุดท้ายที่ต้องใส่ตามตำแหน่ง อาจเป็นหินก้อนใหญ่ที่เป็นขื่อประตูหรือใช้ยึดและปรับแนวกำแพง หรือเป็นหินสลักที่วางบนซุ้มโค้งของยอดโดมที่ทำหน้าที่ยึดก้อนหินทั้งหมดของโดมนั้นไว้ด้วยกัน (ดู ศคย.4:7; 10:4)
การนำศิลาก้อนที่อยู่ยอดเข้ามา (ข้อ7ค) ท่ามกลางการโห่ร้องว่า “งามจริง งามจริง”’ จึงเป็นสัญลักษณ์ที่บอกว่างานก่อสร้างพระวิหารได้มาถึงความสำเร็จแล้ว
9มือของเศรุบบาเบลได้วางรากฐานของพระนิเวศนี้ และมือของเขาจะสร้างให้สำเร็จ (‘แล้วพวกเจ้าจึงจะทราบว่า พระยาห์เวห์จอมทัพได้ใช้ข้าพเจ้ามาหาเจ้า 10ใครจะดูหมิ่นวันแห่งการเล็กน้อย? เขาจะเปรมปรีดิ์เมื่อได้เห็นสายดิ่งที่อยู่ในมือของเศรุบบาเบล’)
แม้ว่าก่อนหน้านี้ เมื่อครั้งเศรุบบาเบลวางรากฐานพระวิหาร คนแก่บางคนที่เคยเห็นพระวิหารหลังก่อนของซาโลมอนไม่ได้โห่ร้องดีใจเหมือนคนอื่น ๆ แต่กลับร้องไห้ เพราะสง่าราศีของพระนิเวศหลังนี้ ไม่งดงามโอ่อ่าตระการเท่าวิหารหลังเดิม (อสร. 3:10-13; ฮกก. 2:3)
ฮักกัย 2:3; ในพวกเจ้าที่เหลืออยู่มีใครบ้างที่เคยเห็นพระนิเวศนี้ประกอบด้วยศักดิ์ศรีเมื่อครั้งก่อน? และบัดนี้พวกเจ้าเห็นเป็นอย่างไร? มองดูแล้วเหมือนไม่มีอะไรเลยใช่ไหม?
การรื้อฟื้นพระวิหารอาจไม่ได้เป็นอย่างที่ประชาชนคาดหวังว่าพระนิเวศจะยิ่งใหญ่งดงามเหมือนสมัยก่อน แต่นี่เป็นจุดเริ่มต้นของการรื้อฟื้นจิตวิญญาณของประชาชน และเป็นสัญลักษณ์ว่าพระเจ้าจะทรงประทับกับประชากรของพระองค์ ก่อนหน้านี้พวกเขาต้องปรนนิบัติคนต่างชาติในดินแดนที่พวกเขาตกเป็นเชลย แต่บัดนี้พระเจ้าได้ไถ่เขาให้กลับสู่แผ่นดินแห่งคำทรงสัญญาแล้ว การสร้างพระวิหารจึงเป็นการย้ำเตือนว่าพวกเขาได้กลับมาอยู่ในการทรงสถิตของพระเจ้าอีกครั้ง
ข้อ10ข ใครจะดูหมิ่นวันแห่งการเล็กน้อย? เขาจะเปรมปรีดิ์เมื่อได้เห็นสายดิ่งที่อยู่ในมือของเศรุบบาเบล’
“สายดิ่งที่อยู่ในมือของเศรุบบาเบล” เป็นสัญลักษณ์ของการคุมงานก่อสร้างโดยเศรุบบาเบล พระเจ้าจะทำให้หลายคนที่เคยดูหมิ่นงานสร้างพระนิเวศต้องเงียบเสียงไป และคนเหล่านั้นจะรู้ว่าพระเจ้าทรงใช้เศรุบบาเบลผู้รับใช้ของพระองค์ทำงานนี้ให้สำเร็จ
3. เกิดขึ้นโดยร่วมมือกับพระคริสต์และคริสตจักรของพระเจ้า (11-14)
ข้อ 11-12 เศคาริยาห์ถามทูตสวรรค์ถึง ‘ต้นมะกอก 2 ต้น ที่อยู่ข้างขวาและข้างซ้ายของเชิงตะเกียงนั้นคืออะไร? และ ‘กิ่งทั้งสองของต้นมะกอก ซึ่งอยู่ข้างท่อทองคำทั้งสอง ซึ่งเทน้ำมันออกนั้นคืออะไร?
ในข้อ 14 ทูตสวรรค์ตอบว่า ‘ทั้งสองนี้คือผู้ที่ได้รับการเจิมเป็นผู้ยืนอยู่ข้างองค์เจ้านายของพิภพทั้งสิ้น’
เชิงตะเกียงและต้นมะกอกเทศสองต้นถูกกล่าวถึงเป็นครั้งแรกใน ศคย.4:2-3 ว่า กิ่งทั้งสองมีน้ำมันมะกอกไหลไปยังท่อทองคำสองท่อ ซึ่งไหลต่อไปยังชามและท่อ จากท่อไปสู่ตะเกียงทั้งเจ็ดดวง
ในข้อ 11-12 ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติม ถึงต้นมะกอกสองต้นที่อยู่ข้างซ้ายและขวาของเชิงตะเกียงว่า มีกิ่งทั้งสองของต้นมะกอก อยู่ข้างท่อทองคำทั้งสอง ซึ่งเทน้ำมันออกตลอดเวลา
ทูตสวรรค์ที่สนทนากับเศคาริยาห์ไขความสับสนของเศคาริยาห์เกี่ยวกับต้นมะกอกเทศสองต้นที่อยู่ข้างเชิงตะเกียงนั้น (ข้อ 3,11) โดยชี้ให้เห็นว่าต้นมะกอกทั้งสองเล็งถึงสองท่านผู้ที่ได้รับการเจิมเป็นผู้ยืนอยู่ข้างพระเจ้าแห่งพิภพทั้งสิน(ข้อ 14)
“ต้นมะกอกสองต้น” หมายถึง ผู้รับใช้ที่ได้รับการเจิมตั้งสองคนให้ทำหน้าที่ในฐานะปุโรหิตและกษัตริย์ ซึ่งนิมิตนี้ชี้เป็นพิเศษไปที่ โยชูวาในตำแหน่งมหาปุโรหิตและเศรุบบาเบลในตำแหน่งผู้นำประชาชน ทั้งสองปรนนิบัติพระเจ้าร่วมกันเพื่อให้พระประสงค์ในการไถ่และการรื้อฟื้นประชาชนผ่านงานสร้างพระวิหารนี้สำเร็จ
ตำแหน่งปุโรหิตและกษัตริย์ของบุคคลทั้งสองเป็นภาพจำลอง (Type) ที่เล็งถึงความเป็นมหาปุโรหิตและจอมกษัตริย์ของพระเมสสิยาห์คือ “พระเยซูคริสต์” ที่จะเสด็จมาในอนาคต
พระเยซูคริสต์เป็นมหาปุโรหิตที่ถวายพระองค์เองเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปให้กับทุกคนที่เชื่อวางใจในพระองค์และทรงเป็นประมุขของคริสตจักรทั่วสากลโลก และในวาระสุดท้ายพระองค์จะเสด็จมาอย่างจอมกษัตริย์เพื่อนำเอาราชอาณาจักรซึ่งคือบรรดาประชากรที่ซื่อสัตย์ของพระเจ้ามาถวายแด่พระเจ้าพระบิดา
เช่นเดียวกับอิสราเอล “คริสตจักร”ของพระเจ้ามีบทบาทเหมือน “เชิงตะเกียง” ที่ได้รับน้ำมันจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้เป็นแสงสว่างแก่บรรดาประชาชาติ (อสย.42:6;4 9:6)
ในยุคเดิมอิสราเอลเป็นแสงสว่างในสมัยของเศคาริยาห์ แต่ยุคนี้ “คริสตจักร”เป็นความสว่างอย่างแท้จริงผ่านการเจิมของพระวิญญาณและผ่านการปกครองของพระคริสต์เหนือคริสตจักรของพระองค์
คำพยากรณ์ของเศคาริยาห์ที่เล็งถึงโยชูวาและเศรุบบาเบลตอนนี้ (4:11-14) สำเร็จในยุคสมัยของเขา และสำเร็จเมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จมาเพื่อไถ่บาปในฐานะมหาปุโรหิต ทรงฟื้นจากความตายและได้รับการยกชูขึ้นเป็นประมุขของคริสตจักร
คำพยากรณ์นี้จะสำเร็จอีกส่วนหนึ่งในอนาคตโดยเล็งถึง “คริสตจักร” ในยุคแห่งภัยพิบัติก่อนการเสด็จมาครั้งที่สองของพระคริสต์ คริสตจักรคือผู้ได้รับการเจิมจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้ทำหน้าที่เป็นพยานถึงพระเยซูคริสต์เหมือนกับพยานทั้งสองคือโมเสสและเอลียาห์ที่ได้รับการเจิมจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้รับใช้ด้วยฤทธิ์เดชของพระองค์ (วว. 11:3-6)
ความสำเร็จสมบูรณ์ในพระราชกิจแห่งการไถ่เกิดขึ้นโดยพระเยซูคริสต์
ความรอดจากการเป็นเชลยของอิสราเอล มาจากพระเจ้าทรงกำหนดแผนการแห่งการไถ่ไว้ ความรอดในปัจจุบันนี้ก็มาจากพระเจ้า กำหนดไว้ผ่านทางพระเยซูคริสต์ พระเยซูเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงใช้มาเพื่อช่วยคนบาป พระองค์เป็นความหวังสำหรับคนที่ต้องการความหวัง ความรอด สวัสดิภาพพระเจ้าให้พระเยซูมาสื่อสารด้วยพระองค์เอง เพื่อจะช่วยคนบาปให้รอดจากการพิพากษาจากผลบาปให้พ้นจากการเป็นทาสบาป ทาสมาร ที่นำไปสู่ความตาย ความทุกข์ยาก ลำบากต่าง ๆ นา ๆ พระเยซูเป็นความหวังแห่งความรอดให้กับมนุษย์หมดโลกได้
เศคาริยาห์รู้ว่าพระเจ้าจะช่วยคนของพระเจ้า การเผยวจนะหนุนใจให้กลับมาแสวงหาพระเจ้า อธิษฐานขอให้อยู่ในแผนการของพระเจ้า เราต้องสำรวจชีวิตของตนเอง อธิษฐานกับพระเจ้าอยู่เสมอว่า ขอให้เราดำเนินชีวิตอยู่ในพระประสงค์ที่ถูกต้องตามพระทัยพระเจ้า’
ทำอย่างไรจะไม่เป็นเชลย ทำอย่างไรให้ชีวิตอยู่พันธสัญญาของพระเจ้า ขอให้คนของพระเจ้า ขอให้ผู้รับใช้ของพระเจ้า ขอให้ผู้นำของพระเจ้า นำคนในทางของพระเจ้า ในพันธสัญญาของพระเจ้า คนของพระเจ้าต้องร่วมมือกับพระเจ้า
ขอให้เราร่วมใจกันอธิษฐาน
สนใจติดต่อเรา หรือเชิญให้เทศนา ให้สอนหรือให้อบรม
www.facebook.com/FORWARD.CH.TH
Email: actsministry2017@gmail.com