กิจขจร ลิ่วเฉลิมวงศ์

เทศนา คริสตจักรศาลาธรรมเปี่ยมรัก อาทิตย์ที่ 20 พ.ค. 2018

“ตาดี หรือตาบอดดี”

ลก11:33-36 (มธ.5:15, มธ6:22-23)

33 “ไม่มีใครเมื่อจุดตะเกียงแล้วจะตั้งไว้ในที่ลี้ลับหรือเอาถังครอบไว้ แต่จะตั้งไว้บนเชิงตะเกียง  ( มก.4:21; ลก.8:16 บริบท หมายถึง ข่าวประเสริฐ ที่พระเยซูเป็นหัวใจหลักของข่าวประเสริฐ ) เพื่อคนที่เข้ามาจะเห็นแสงสว่าง

34 ตาเป็นประทีปของร่างกาย ถ้าตาของท่านปกติ ทั้งตัวก็พลอยสว่างไปด้วย แต่ถ้าตาของท่านผิดปกติ ทั้งตัวก็พลอยมืดไปด้วย

35 ระวังให้ดี อย่าให้ความสว่างที่อยู่ในตัวท่านกลายเป็นความมืด

36 ถ้าทั้งตัวของท่านเต็มไปด้วยความสว่างไม่มีความมืดเลย มันก็จะสว่างไสวไปหมดเหมือนอย่างความสว่างของตะเกียงที่ส่องมายังท่าน”

มธ5:15 เมื่อจุดตะเกียงแล้วไม่มีผู้ใดเอาถังครอบไว้ ย่อมตั้งไว้บนเชิงตะเกียง จะได้ส่องสว่างแก่ทุกคนที่อยู่ในบ้านนั้น

มธ6:22-23 22“ตาเป็นประทีปของร่างกาย เพราะฉะนั้นถ้าตาของท่านปกติ ทั้งตัวของท่านก็พลอยสว่างไปด้วย 23แต่ถ้าตาของท่านผิดปกติ ทั้งตัวของท่านก็พลอยมืดไปด้วย เพราะฉะนั้นถ้าความสว่างซึ่งอยู่ในตัวท่านมืดไป ความมืดนั้นจะหนาทึบสักเพียงใดหนอ

(กรณีฝึกอบรม: ให้ตั้งคำถาม แสงสว่างที่มาจากตะเกียง หมายถึงอะไร ให้เขียนชื่อลงในกระดาษ แล้วตอบ เสร็จแล้วโยนมาที่กางเขน หรือธรรมมาสน์ด้านหน้าเลย)

คำนำ

  พระองค์ได้นำเสนอความเป็นบุตรพระเจ้าผ่านคำอุปมาเรื่องตะเกียงที่ส่องสว่าง เพื่อให้คนเห็นชัดเจน แต่พวกฟาริสี และธรรมาจารย์ผู้เชี่ยวชาญบัญญัติ ก็พยายามปิดบังความสว่างนั้น 

พระเยซูบอกว่าตาของเราถ้าปกติดีก็จะเห็นความสว่างแต่ถ้าตาเป็นโรคคนนั้นก็เห็นแสงน้อยหรือไม่เห็นเลยซึ่งพวกผู้นำทางศาสนาในเวลานั้นเป็นเช่นนี้พระเยซูอยู่ท่ามกลางพวกเขาแต่ตาฝ่ายจิตวิญญาณของเขาบอดสุดท้ายเขาหาทางจับผิดพระองค์ 

ลก11:53-54

53 เมื่อพระองค์เสด็จออกจากที่นั่น พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสีก็เริ่มผูกพยาบาทและจู่โจมพระองค์ด้วยคำถามต่างๆ

54 เพื่อคอยจับผิดในสิ่งที่พระองค์ตรัส

ตอบ ลก11 บริบทบอกว่า ความสว่างที่มาจากตะเกียงคือ พระเยซูคริสต์ 

ลก10:21-24 

21 ในเวลานั้นเอง พระเยซูทรงเปรมปรีดิ์ในพระวิญญาณบริสุทธิ์ ตรัสว่า “ข้าแต่พระบิดาผู้เป็นเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์และโลก ข้าพระองค์สรรเสริญพระองค์ที่พระองค์ทรงปิดบังสิ่งเหล่านี้ไว้จากคนมีปัญญาและคนฉลาด แต่ทรงสำแดงแก่พวกทารก ถูกแล้ว ข้าแต่พระบิดา พระองค์พอพระทัยเช่นนั้น

22 “พระบิดาของเราทรงมอบสิ่งสารพัดให้แก่เราไม่มีใครรู้ว่าพระบุตรเป็นใครนอกจากพระบิดา และไม่มีใครรู้ว่าพระบิดาเป็นใครนอกจากพระบุตร และผู้ที่พระบุตรประสงค์จะสำแดงให้รู้

23 พระองค์ทรงหันมาหาพวกสาวก ตรัสกับพวกเขาเป็นการส่วนตัวว่า “ผู้ที่ได้เห็นสิ่งที่พวกท่านเห็นก็เป็นสุข

24 เพราะเราบอกพวกท่านว่า ผู้เผยพระวจนะหลายคนและกษัตริย์หลายองค์ปรารถนาจะเห็นสิ่งที่ท่านเห็นอยู่นี้ แต่เขาทั้งหลายไม่เคยเห็น และอยากจะได้ยินสิ่งที่พวกท่านได้ยิน แต่เขาก็ไม่เคยได้ยิน”

พระเยซูบอกว่ากษัตริย์และผู้เผยวจนะอยากจะเห็นพระองค์แต่เขาไม่ได้เห็นแต่สาวกได้เห็นพระบุตรของพระเจ้าพระองค์ประกาศพระองค์อย่างชัดเจนไม่ได้แอบซ่อน 

พระองค์ส่องสว่างเต็มที่พระเยซูเป็นความสว่างแห่งโลกนี้ 

ยน8:12 พระเยซูตรัสกับพวกเขาอีกครั้งหนึ่งว่าเราเป็นความสว่างของโลก คนที่ตามเรามาจะไม่ต้องเดินในความมืด แต่จะมีความสว่างแห่งชีวิต

ยน9:5  ตราบใดที่เรายังอยู่ในโลก เราก็เป็นความสว่างของโลก

วิดีโอตัวอย่าง

เป็นวิดีโอ เด็กๆร้องเพลง เต้นในถ้ำ พระเยซูเป็นความสว่าง

พระองค์คาดหวังว่าเราจะเห็นพระองค์แบบที่พระองค์ทรงสำแดง 

หัวข้อคำเทศนาวันนี้ “ตาดี หรือตาบอดดี” 4 ประการ

1.คนที่ตาดี 

คือคนท่ีเห็นว่าพระองค์เป็นพระเจ้าเป็นความสว่างการเห็นอย่างชัดเจนในเรื่องฝ่ายวิญญาณคือรู้ว่าพระเยซูเป็นทางรอดฝ่ายวิญญาณจากความตายและการพิพากษาพระองค์มาตายไถ่บาป 

(กรณีฝึกอบรมให้อธิบาย:เหมือนที่เราปา กระดาษคำตอบมาที่กางเขน พระองค์รับแบกบาปแทนเรา ดูคำตอบที่เขียนตอบมา และคัดแยกคำตอบที่ถูกไว้ชมเชย) 

ยน12:44-46 พระเยซูบอกว่าพระองค์เป็นความสว่าง คนที่วางใจในพระองค์จะไม่อยู่ในความมืด 44 และพระเยซูทรงประกาศว่า “คนที่วางใจเรานั้นไม่ได้วางใจในเราเองแต่วางใจในพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา

45 และคนที่เห็นเราก็เห็นผู้ทรงใช้เรามา

46 เราเข้ามาในโลกเป็นความสว่างเพื่อทุกคนที่วางใจในเราจะไม่อยู่ในความมืด

ประยุกต์ใช้ได้ว่าเขาจะมีความหวังใจในพระเจ้าเสมอมีความเชื่อในพระลักษณะพระเจ้ามีความเชื่อในพระสัญญาพระเจ้ามีความเชื่อในแผนการความรอดของพระเจ้าเสมอ

คนที่เห็นความสว่างมากหรือสว่างน้อยการดำเนินชีวิตกับพระองค์หรือดำเนินชีวิตเพื่อพระองค์ก็แตกต่างกันอย่างมาก

สอดคล้องกับเรื่องการใช้ความเชื่อเราเห็นพระองค์ผ่านความเชื่อคือเขาจะมีความเชื่อในพระลักษณะพระเจ้ามีความเชื่อในพระสัญญาพระเจ้าและมีความเชื่อในแผนการความรอดของพระเจ้าผ่านทางพระเยซูคริสต์รม9:30-32,10:1-4 เราจะเห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า

30 ถ้าอย่างนั้น เราจะว่าอย่างไร? จะว่าพวกต่างชาติที่ไม่ได้ใฝ่หาความชอบธรรม ก็ยังได้รับความชอบธรรม คือความชอบธรรมที่เกิดขึ้นโดยความเชื่อ

31 แต่พวกอิสราเอลซึ่งใฝ่หาความชอบธรรมตามธรรมบัญญัติ ก็ยังไม่ได้บรรลุตามธรรมบัญญัตินั้น

32 เพราะอะไร? เพราะเขาไม่ได้แสวงหาโดยความเชื่อ แต่แสวงหาโดยการประพฤติ เขาสะดุดก้อนหินที่ให้สะดุดนั้น

รม10:1-4 

1พี่น้องทั้งหลาย ความปรารถนาในจิตใจของข้าพเจ้าและคำวิงวอนขอต่อพระเจ้าเพื่อคนอิสราเอลนั้น คือขอให้เขาได้รับความรอด

2ข้าพเจ้าเป็นพยานให้เขาว่า พวกเขามีความกระตือรือร้นที่จะปรนนิบัติพระเจ้า แต่ไม่ได้เป็นตามปัญญา

3เพราะว่าเขาไม่รู้จักความชอบธรรมของพระเจ้า แต่อุตส่าห์ตั้งความชอบธรรมของตนขึ้น พวกเขาจึงไม่ยอมอยู่ในความชอบธรรมของพระเจ้า

4เพราะว่าพระคริสต์ทรงเป็นจุดจบของธรรมบัญญัติ เพื่อให้ทุกคนที่มีความเชื่อได้รับความชอบธรรม

2.คนที่ตาบอด 

คือคนที่มองไม่เห็นพระเยซู (เขาอยู่ในบาปต้องทำให้เขาหายบอด)เขามีอคติเขามีโรคบาปทำให้เขาไม่สามารถรู้จักพระองค์ได้

(กรณีฝึกอบรมให้ใช้:ตัวอย่างโยนกระดาษคำตอบกลับไปให้ผู้ฟังแล้วให้โยนคืนกลับมาที่ผู้เทศน์หลังจากนั้นให้ผู้เทศน์เก็บไว้ไม่โยนต่อ(อธิบายพระคริสต์มารับแบกบาปเหมือนรับกระดาษไว้ที่พระองค์เพื่อยุติความบาปทั้งหมด)

ยน9:35-41คนตาบอดที่พระเยซูรักษามองเห็นพระองค์เขาก็กราบไหว้พระองค์ ผิดกับพวกฟาริสีที่ตาบอดฝ่ายจิตวิญญาณ

35 พระเยซูทรงได้ยินว่าพวกยิวไล่คนนั้นออกไปแล้ว เมื่อพระองค์ทรงพบเขาจึงตรัสว่า “ท่านวางใจในบุตรมนุษย์หรือ?”

36 ชายคนนั้นทูลตอบว่า “ท่านเจ้าข้า ใครคือบุตรมนุษย์ที่ข้าพเจ้าจะวางใจได้?”

37 พระเยซูตรัสกับเขาว่า ท่านเห็นผู้นั้นแล้ว คือผู้ที่กำลังพูดอยู่กับท่าน”  38 เขาจึงทูลว่าองค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์วางใจแล้วเขาก็กราบไหว้พระองค์ 

39 พระเยซูตรัสว่า “เราเข้ามาในโลกเพื่อการพิพากษา เพื่อให้คนทั้งหลายที่มองไม่เห็นกลับมองเห็น และคนที่มองเห็นกลับตาบอด”

40 เมื่อพวกฟาริสีที่อยู่ใกล้พระองค์ได้ยินอย่างนั้นจึงกล่าวแก่พระองค์ว่า เราตาบอดด้วยหรือ?”  41 พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่าถ้าพวกท่านตาบอด ท่านก็จะไม่มีบาป แต่พวกท่านพูดเดี๋ยวนี้เองว่าเรามองเห็นเพราะฉะนั้นบาปของท่านยังมีอยู่

ประยุกต์ใช้ได้ว่าเขาไม่รู้จักพระเจ้า เราต้องบอก ต้องประกาศให้เขารู้ 

หากเขารู้ทุกอย่างแล้วแต่ไม่ต้องการเชื่อ หรือไม่ต้องการยอมรับพระองค์เป็นพระเจ้า เราก็อธิษฐานเผื่อเขาเพื่อให้เขารับพระคุณของพระเจ้า

3.คนที่ตาเหล่  ลก11:14-23

คือคนมองผิดไปเห็นว่าพระองค์เป็นแค่มนุษย์หรือเป็นนายผี (รู้เรื่องพระเยซูแต่ไม่ได้ให้ความสำคัญอย่างที่พระองค์เป็น)

เช่นคิดว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าที่อวยพรอย่างเดียวไม่มีการลงโทษ 

หรือคิดว่าพระองค์เป็นทาสรับใช้เราขออย่างเดียวเอาพระพรอย่างเดียวเอาสบายสะดวกอย่างเดียวรับอย่างเดียวถวายไม่เป็น

เวลาพระเจ้าให้เราแบกกางเขนหรือให้รับใช้หรือให้ทนทุกข์เสียสละเพื่อพระนามพระองค์เราก็ไม่สนใจจะทำตามเลย 

ประยุกต์ใช้ได้ว่าเขาควรรับการรักษาความคิดให้ถูกต้อง ด้วยการศึกษาพระลักษณะพระเจ้าให้มากขึ้น ศึกษาแผนการความรอดของพระเจ้า แล้วเขาจะรู้ว่าพระเจ้าให้เขารับความรอดเพื่อให้เขาทำอะไร เหตุใดพระเยซูต้องมาตายไถ่บาปเพื่อเรา

4.คนที่ตาบอดสี  ลก11:29-32

คือคนมองเห็นพระเยซูแต่เขาไม่เข้าใจทั้งท่ีพระเยซูบอกว่าพระองค์เป็นใหญ่กว่าโซโลมอนและโยนาห์(พระเยซูอยากให้เขารู้ว่าพระองค์เป็นใครแต่เขาไม่สามารถจะเข้าใจได้)เขาเห็นพระองค์เป็นแบบที่เขาต้องการจะเห็นไม่ใช่ตามแบบที่พระเจ้าสำแดง 

เช่นคิดว่าพระเจ้าเป็นพระเจ้าแห่งความรักจะทำบาปผิดยังไงก็ได้พระเจ้ารักเราจะยกโทษให้อภัยเรา

ตัวอย่าง แบบทดสอบตาบอดสี https://health.mthai.com/howto/4927.html

ประยุกต์ใช้ได้ว่าเขาควรรับการรักษาความเข้าใจให้ถูกต้อง ด้วยการศึกษาพระคัมภีร์ เขาจะเข้าใจว่าพระเจ้าเป็นใคร มนุษย์เราเป็นใคร แล้วเราต้องตอบสนองพระเยซูอย่างไร ชีวิตเราจึงจะรับพระพร แทนคำสาบแช่ง รับการโปรดปราน ไม่ใช่รับการลงโทษ

มธ6:22-23,5:15 ถ้าเห็นพระเยซูเป็นความสว่าง เราจะใช้ชีวิตยังไง

ชีวิตในโลกนี้จะอยู่เพื่อพระองค์การใช้ทรัพย์สมบัติก็เพื่อพระองค์ความกระวนกระวายความเป็นทุกข์ใจสำหรับการทำมาหากินในโลกนี้จะไม่มีเพราะเขาเห็นพระเยซูเป็นความสว่างในชีวิต 

อฟ5:8-11 8เพราะเมื่อก่อนท่านทั้งหลายเป็นความมืดแต่บัดนี้ท่านเป็นความสว่างในองค์พระผู้เป็นเจ้าจงดำเนินชีวิตอย่างคนของความสว่าง 9(เพราะว่าผลของความสว่างคือทุกอย่างที่เป็นความดีความชอบธรรมและความจริง) 10จงค้นดูว่าอะไรเป็นสิ่งที่พอพระทัยองค์พระผู้เป็นเจ้า 11และอย่ามีส่วนในกิจการของความมืดที่ไร้ผลแต่จงเปิดเผยกิจการนั้นให้ปรากฏดีกว่า

ส่วนความสว่างในมก4:21-25, ลก8:16-18 

ให้ความหมายแผ่นดินของพระเจ้าพระวจนะของพระเจ้าข่าวประเสริฐของพระเจ้าจะถูกประกาศออกไป

THE GOSPEL OF MATTHEW” Chapter Six

The “Sermon On The Mount” continues as Jesus teaches the righteousness of the kingdom expected in those who would be citizens of the kingdom.

He discusses righteousness with respect to man’s relation to God, regarding charitable deeds (1-4), prayer (5-15), fasting (16-18),materialism (19-24), and anxiety (25-33).

POINTS TO PONDER

   *  Performing acts of righteousness in ways that please God

   *  The danger of materialism and overcoming anxiety about such things

   *  Making the kingdom of God and His righteousness our number one priority

7) Where are we to lay up treasure?  Why?  How? (20,24; cf. Mt 19:21;1Ti 6:17-19)

   – In heaven; to serve God rather than mammon; by giving to the poor

Matt6:23 Here we have a verse that is consistently misinterpreted. What is this “evil eye?” Note the context of the verses before and after the term. In both cases Yeshua is talking about serving God and not money. Why would He interrupt this discussion about “God and money” to interject something about an “evil eye?”

The answer is that the term “evil eye,” in this context, is a Hebrew figure of speech for being stingy with your material wealth. This verse alone offers evidence that the book of Matthew was originally written in Hebrew as whoever translated it into the Greek, was not aware of what the term “evil eye” meant. They simply copied the phrase, which loses its meaning in the Greek and English.

33. The meaning is, God gives you this Gospel light, that you may repent. Let your eye be singly fixed on him, aim only at pleasing God; and while you do this, your whole soul will be full of wisdom, holiness, and happiness. Matt. v, 15; Mark iv, 21; Luke viii, 16. 

34. But when thine eye is evil – When thou aimest at any thing else, thou wilt be full of folly, sin, and misery. On the contrary, Matt. vi, 22. 

36. If thy whole body be full of light – If thou art filled with holy wisdom, having no part dark, giving way to no sin or folly, then that heavenly principle will, like the clear flame of a lamp in a room that was dark before, shed its light into all thy powers and faculties.

Luke CHAP. XI. 

In this chapter, I. Christ teaches his disciples to pray, and quickens and encourages them to be frequent, instant, and importunate in prayer, ver. 1-13. II. He fully answers the blasphemous imputation of the Pharisees, who charged him with casting out devils by virtue of a compact and confederacy with Beelzebub, the prince of the devils, and shows the absurdity and wickedness of it, ver. 14-26. III. He shows the honour of obedient disciples to be greater than that of his own mother, ver. 27, 28. IV. He upbraids the men of that generation for their infidelity and obstinacy, notwithstanding all the means of conviction offered to them, ver. 29-36. V. He severely reproves the Pharisees and consciences of those that submitted to them, and their hating and persecuting those that witnessed against their wickedness, ver. 37-54. 

ให้เราร่วมใจกันอธิษฐาน 

สนใจติดต่อเรา หรือเชิญให้เทศนา ให้สอนหรือให้อบรม

www.facebook.com/FORWARD.CH.TH

Email: actsministry2017@gmail.com

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่