กิจขจร ลิ่วเฉลิมวงศ์
อาทิตย์ที่ 9 มิ.ย. 19 คริสตจักรอันติโอเกีย (สวนมะลิ)
รม12:9-21 เติบโตผ่านการรับใช้
1.ทำให้ชีวิตตนเองดีขึ้น
2.ทำให้ชีวิตผู้อื่นดีขึ้น
ขอให้ความรักมาจากใจจริง จงเกลียดชังสิ่งที่ชั่ว จงยึดมั่นในสิ่งที่ดี 10จงรักกันฉันพี่น้อง จงขวนขวายในการให้เกียรติกันและกัน 11อย่าอ่อนระอา จงมีจิตใจกระตือรือร้นด้วยพระวิญญาณ จงปรนนิบัติองค์พระผู้เป็นเจ้า 12จงชื่นชมยินดีในความหวัง จงสู้ทนต่อความยากลำบาก จงขะมักเขม้นอธิษฐาน 13จงเห็นอกเห็นใจช่วยธรรมิกชนเมื่อเขาขัดสน จงอุตส่าห์ต้อนรับแขกแปลกหน้า
14จงอวยพรแก่คนที่เคี่ยวเข็ญท่าน จงอวยพร อย่าแช่งด่าเลย 15จงชื่นชมยินดีกับผู้ที่มีความชื่นชมยินดี จงร้องไห้กับผู้ที่ร้องไห้ 16จงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน อย่าใฝ่สูง แต่ยอมสมาคมกับคนต่ำต้อย อย่าถือว่าตัวฉลาด 17อย่าทำชั่วตอบแทนชั่วแก่ใครเลย แต่จงมุ่งทำสิ่งที่ใครๆ ก็เห็นว่าดี 18ถ้าเป็นได้ เท่าที่เรื่องขึ้นอยู่กับท่าน จงอยู่อย่างสงบสุขกับทุกคน 19นี่แน่ะ ท่านผู้เป็นที่รักของข้าพเจ้า อย่าแก้แค้น แต่จงมอบการนั้นไว้ แล้วแต่พระเจ้าจะทรงลงโทษ เพราะมีคำเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “การแก้แค้นเป็นของเรา เราเองจะตอบแทน” 20แต่ว่า “ถ้าศัตรูของท่านหิว จงให้อาหารเขารับประทาน ถ้าเขากระหายน้ำก็จงให้น้ำเขาดื่ม เพราะว่าการทำเช่นนั้น จะทำให้เขารู้สึกตัวและกลับมาคืนดี”21อย่าให้ความชั่วชนะเราได้ แต่จงชนะความชั่วด้วยความดี
เมื่อเราดูจากหัวข้อคำเทศนาเราตีความได้สองแบบ แบบที่หนึ่ง คือ ทำอย่างไรเราจึงจะเติบโตผ่านการรับใช้ แบบที่สอง คือ ผลของการเติบโตผ่านการรับใช้
เมื่อศึกษาจากพระธรรมโรมตั้งแต่เริ่มต้น ผมพบว่า
บทที่ 1-2 ความรอดมาทางพระเยซูคริสต์
บทที่ 3 ไม่มีใครรอดได้โดยความดีหรือการประพฤติดี หรือทำตามธรรมบัญญัติได้เพราะ ทุกคนเป็นคนบาป
บทที่ 4 เรารอดโดยความเชื่อ พระเจ้านับว่าเราเป็นคนชอบธรรมโดยความเชื่อดูจากอับราฮัม
บทที่ 5 ความเชื่อที่ว่าบาปถ้าบาปเข้ามาในโลกได้เพราะอาดัม โลกก็รับความชอบธรรมทางพระเยซูคริสต์ผู้เดียวได้เช่นกัน
บทที่6-7 บอกเรื่องเราต้องเป็นทาสความชอบธรรมไม่ใช่ทาสบาป เมื่อเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว
บทที่ 8 ให้กำลังใจว่าเราดำเนินชีวิตชอบธรรมไม่ได้ด้วยกำลังของตนเอง แต่โดยดำเนินชีวิตในฝ่ายวิญญาณกับพระเจ้าเราจะดำเนินชีวิตชอบธรรมได้
บทที่ 9-11 เน้นเจาะจงไปที่ยิว หรือชนชาติอิสราเอล ให้เข้าใจแผนการความรอดที่เริ่มจากอิสราเอล ไปสู่คนต่างชาติ และพวกยิวยังมีโอกาสรับความชอบธรรมจากพระเยซูคริสต์ได้อีกครั้ง
บทที่ 12-15 จึงเป็นเรื่องที่เราเติบโตขึ้นมาแล้ว ดำเนินชีวิตใหม่ในพระคริสต์ ส่วนตัวอย่างไร ดำเนินชีวิตในคริสตจักรอย่างไร ดำเนินชีวิตในสังคมอย่างไร และเราควรรับใช้พระเจ้าอย่างไร
บทที่ 16 เปาโลได้กล่าวถึงทีมงานของท่านที่ร่วมกันรับใช้
เมื่อดูจากบริบทของพระคัมภีร์โรมทั้งหมด พระธรรมโรม12 ตอนนี้ อธิบายตรงๆเรื่องเติบโตผ่านการรับใช้ต้องทำอะไร ต้องทำอย่างไรบ้างชัดเจน แต่ผมจะนำเสนอผลลัพธ์ที่เราจะเติบโตผ่านการรับใช้มากกว่า
สรุปคือ ผมจะเน้นถึงผลมากกว่าวิธีการ เพราะต้องใช้การใคร่ครวญมากกว่า เรื่องการทำให้เติบโตอย่างไร สรุปโดยง่าย โรม12 กล่าวไว้ว่าเราจะเติบโตผ่านการรับใช้อย่างไร 3 ประการ
1.รู้ความดี (2) อย่าลอกเลียนแบบอย่างคนในยุคนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลง จิตใจ แล้วอุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่ เพื่อท่านจะได้ทราบพระประสงค์ของพระเจ้า จะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัย และอะไรดียอดเยี่ยม
2.ยึดมั่นความดี (9) ขอให้ความรักมาจากใจจริง จงเกลียดชังสิ่งที่ชั่ว จงยึดมั่นในสิ่งที่ดี
3.ชนะความชั่วด้วยความดี (21) อย่าให้ความชั่วชนะเราได้ แต่จงชนะความชั่วด้วยความดี
ผมแปลความว่า “เติบโตขึ้น” หมายถึง เรามีชีวิตฝ่ายวิญญาณที่ดีขึ้น บริสุทธิ์ขึ้น สะอาดขึ้น สว่างขึ้น (รม12:2,21) (2) อย่าลอกเลียนแบบอย่างคนในยุคนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลง จิตใจ แล้วอุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่ เพื่อท่านจะได้ทราบพระประสงค์ของพระเจ้า จะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัย และอะไรดียอดเยี่ยม (21) อย่าให้ความชั่วชนะเราได้ แต่จงชนะความชั่วด้วยความดี
และ “การรับใช้” หมายถึง การปฎิบัติดี ทำดี ต่อพระเจ้า ต่อพี่น้อง ต่อคนรอบข้างและต่อตนเอง
“เติบโตผ่านการรับใช้ หมายถึง ชีวิตที่ดีขึ้น ผ่านการทำดีต่อพระเจ้า ต่อพี่น้อง ต่อผู้อื่น ต่อคนรอบข้างและต่อตนเอง”
1ทธ4:6 ถ้าท่านให้คำแนะนำเหล่านี้(พระวจนะ)แก่พี่น้อง ท่านก็จะเป็นผู้ปรนนิบัติที่ดีของพระเยซูคริสต์ เจริญเติบโตด้วยถ้อยคำแห่งความเชื่อ และหลักคำสอนอันดีตามที่ท่านประพฤติตามแล้วนั้น
ฮบ13:21ทรงให้พวกท่านเพียบพร้อมด้วยสิ่งดีทุกอย่าง เพื่อที่จะทำตามพระทัยของพระองค์โดยทรงทำงานในเราให้เกิดผลเป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ทางพระเยซูคริสต์ ขอพระสิริจงมีแด่พระองค์สืบๆ ไปเป็นนิตย์ อาเมน
รม6:16 ,22 พวกท่านไม่รู้หรือว่าถ้าท่านยอมตัวรับใช้เชื่อฟังใคร ท่าน ก็เป็นทาสของผู้ที่ท่านเชื่อฟังนั้น คือเป็นทาสของบาปซึ่งนำไปสู่ความตาย หรือเป็นทาสของการเชื่อฟังซึ่งนำไปสู่ความชอบธรรม? 22 แต่เดี๋ยวนี้พวกท่านพ้นจากการเป็นทาสของบาป และกลับมาเป็นทาสของพระเจ้าแล้ว ผลสนองที่ท่านได้รับก็คือการชำระให้บริสุทธิ์ และผลสุดท้ายคือชีวิตนิรันดร์
หัวข้อคำเทศนาในวันนี้คือ เติบโตผ่านการรับใช้ 2 ประการ
1.ทำให้ชีวิตตนเองดีขึ้น
รู้ได้อย่างไรว่าผลลัพธ์ของการเติบโตผ่านการรับใช้ ทำให้ชีวิตของตนเองดีขึ้น เราดูจากพระธรรมตอนนี้เราสังเกตได้ว่า ทำไมเรามีชีวิตดีขึ้น เพราะ
1.1) เรามีพระเจ้าในชีวิต (9-10)
ขอให้ความรักมาจากใจจริง จงเกลียดชังสิ่งที่ชั่ว จงยึดมั่นในสิ่งที่ดี 10จงรักกันฉันพี่น้อง จงขวนขวายในการให้เกียรติกันและกัน
เปรียบเทียบกับคนไม่เชื่อพระเจ้า รม1:31-32 ไร้ปัญญา ไร้ความซื่อสัตย์ ไร้ความรักกัน ไร้ความเมตตา 32แม้เขาจะรู้บัญญัติอันชอบธรรมของพระเจ้า ที่ว่าคนทั้งปวงที่ประพฤติเช่นนั้นสมควรจะตาย เขาก็ไม่เพียงประพฤติเท่านั้น แต่ยังเห็นชอบกับคนอื่นที่ประพฤติเช่นนั้นด้วย
อฟ5:1-2 1เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายจงเลียนแบบของพระเจ้าให้สมกับเป็นบุตรที่รัก 2และจงดำเนินชีวิตในความรักเช่นเดียวกับที่พระคริสต์ทรงรักเรา และประทานพระองค์เองเพื่อเรา ให้เป็นเครื่องถวายและเครื่องบูชาที่ทรงโปรดปรานแด่พระเจ้า
เราที่มีพระเจ้าในชีวิตก็ดำเนินชีวิตเลียนแบบพระเจ้า คือ ดำเนินในความรัก เหมือนพระเยซูรักเรา ก็ถวายตนเองเป็นเครื่องบูชา เราก็ต้องถวายตัวเอง เพื่อจะรักคนอื่นได้เช่นเดียวกัน
รม12:1 ดังนั้น พี่น้องทั้งหลาย โดยเห็นแก่ความเมตตากรุณาของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงวิงวอนท่านทั้งหลายให้ถวายตัวของท่านแด่พระองค์ เพื่อเป็นเครื่องบูชาอันบริสุทธิ์ที่มีชีวิต และเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า ซึ่งเป็นการ นมัสการโดยวิญญาณจิตของท่าน
รม13:8,10 อย่าเป็นหนี้อะไรใครเลย นอกจากความรักซึ่งมีต่อกัน เพราะว่าผู้ที่รักคนอื่น ก็ได้ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติครบถ้วนแล้ว10 ความรักไม่ทำอันตรายต่อเพื่อนบ้านเลย เพราะฉะนั้นความรักจึงเป็นสิ่งที่ทำให้ธรรมบัญญัติสำเร็จอย่างครบถ้วน
ยน12:26 ถ้าใครจะปรนนิบัติเรา คนนั้นต้องตามเรามา และเราอยู่ที่ไหน ผู้ปรนนิบัติของเราจะอยู่ที่นั่นด้วย ถ้าใครปรนนิบัติเรา พระบิดาจะประทานเกียรติแก่ผู้นั้น
เรามีพระเจ้าในชีวิต พระเยซูบอกว่า “เรา”อยู่ที่ไหน “ผู้ปรนนิบัติ”อยู่ที่นั่น ได้รับเกียรติแสดงว่า ชีวิตเราดีขึ้น เพราะพระเจ้าอยู่กับเรา
1.2) เรามีพระเจ้าเป็นแรงจูงใจในการดำเนินชีวิต (11-12)
อย่าอ่อนระอา จงมีจิตใจกระตือรือร้นด้วยพระวิญญาณ จงปรนนิบัติองค์พระผู้เป็นเจ้า 12จงชื่นชมยินดีในความหวัง จงสู้ทนต่อความยากลำบาก จงขะมักเขม้นอธิษฐาน
คส3:23-24 23ไม่ว่าพวกท่านจะทำสิ่งใด ก็จงทำด้วยความเต็มใจ เหมือนทำถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่เหมือนทำต่อมนุษย์ 24ท่านทั้งหลายก็รู้ว่า ท่านจะได้รับมรดกจากองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นบำเหน็จ เพราะท่าน กำลังรับใช้พระคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่
ฮบ6:10เพราะว่าพระเจ้าไม่ทรงอธรรมที่จะทรงลืมการงานของพวกท่านและความรักที่พวกท่านแสดงต่อพระนามของพระองค์ คือการปรนนิบัติพวกธรรมิกชนนั้น ดังที่พวกท่านยังปรนนิบัติอยู่
1.3) เรามีพระเจ้าช่วยเหลือเราในการดำเนินชีวิต (19)
นี่แน่ะ ท่านผู้เป็นที่รักของข้าพเจ้า อย่าแก้แค้น แต่จงมอบการนั้นไว้ แล้วแต่พระเจ้าจะทรงลงโทษ เพราะมีคำเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “การแก้แค้นเป็นของเรา เราเองจะตอบแทน”
เปรียบเทียบกับ รม7:21-25 21ดังนั้นข้าพเจ้าจึงพบว่ามีกฎธรรมดาอย่างหนึ่ง คือเมื่อไรที่ข้าพเจ้าตั้งใจจะทำความดี ก็มักจะเลือกทำชั่วซึ่งอยู่ใกล้ตัว 22เพราะว่าส่วนลึกในใจของข้าพเจ้านั้น ก็ชื่นชมในธรรมบัญญัติของพระเจ้า 23แต่ข้าพเจ้าเห็นมีกฎอีกอย่างหนึ่งอยู่ในอวัยวะของข้าพเจ้า ซึ่งต่อสู้กับกฎแห่งจิตใจของข้าพเจ้า และชักนำให้อยู่ใต้บังคับกฎแห่งบาป ซึ่งอยู่ในอวัยวะของข้าพเจ้า 24โอย ข้าพเจ้าเป็นคนน่าสมเพชอะไรเช่นนี้? ใครจะช่วยให้พ้นจากร่างกายแห่งความตายนี้ 25ขอบพระคุณพระเจ้า โดยทางพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ฉะนั้นทางด้านจิตใจข้าพเจ้ารับใช้ธรรมบัญญัติของพระเจ้า แต่ทางฝ่ายเนื้อหนังข้าพเจ้ารับใช้กฎแห่งบาป