อ.ประยูร ลิมะหุตะเศรณี เทศนาบ่าย อาทิตย์ที่ 7 เม.ษ. 2019
คริสตจักรไมตรีจิตอากาเป้ แบ๊บติสต์
จงแสวงหาพระยาเวห์ 1พศด16:11
“จงแสวงหาพระยาห์เวห์และพระกำลังของพระองค์ แสวงหาพระพักตร์ของพระองค์เสมอ”
คริสเตียนเป็นผู้แสวงหาพระเจ้า ซึ่งก่อนหน้านั้นมนุษย์สนใจแสวงหาแต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อให้อวยพรเขา มนุษย์เรามีความเห็นแก่ตัว อยากได้อะไรก็ต้องไปบนขอจากส่ิงศักดิ์สิทธิ์เพื่อให้ตอบสนองความเห็นแก่ตัว ความโลภของตนเอง ถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตอบสนองตามที่มนุษย์ต้อง เขาก็จะได้ถวายส่ิงของให้เป็นการตอบแทน เป็นการแลกเปลี่ยน
พระเจ้าของคริสเตียน ไม่เคยทำให้เราใฝ่ต่ำไม่ว่าจะเป็นแง่มุมไหนก็ตาม เวลาที่เราอธิษฐานขอกับพระเจ้า พระองค์จึงไม่ได้ตอบสนองความต้อง การทุกอย่างของเรา หรือตอบตามความอยาก ความโลภของเรา
เรื่องการแสวงหาพระยาเวห์วันนี้ สรุปเป็นใจความได้ดังนี้
ประเด็นที่หนึ่ง แสวงหาพระเจ้า อย่างที่พระองค์
ยาห์เวห์ เป็น ชื่อพระเจ้า พระคัมภีร์บอกแบบนั้น คริสเตียนจำนวนมาก อยากให้พระเจ้าเป็นอย่างที่ตัวเองคิด หรืออย่างที่ตัวเองอยากให้พระเจ้า เป็น แต่พระเจ้าจะเป็นแบบที่พระองค์เป็น
ยน3:16พระเจ้าทรงรักโลกดังนี้ คือได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์
พระธรรมตอนนี้บอกว่าพระเจ้าเป็นความรัก ในบางครั้งพระธรรมตอนอื่นก็บอกว่าพระเจ้าเป็นจอมโยธา พระเจ้าทรงเป็นพระยาห์เวห์ทรงเป็นอย่างที่พระองค์ พระนามพระเจ้ามีเยอะมาก การศึกษาเรื่องพระเจ้าต้องใช้เวลายาวนานมาก หากเราใช้ทั้งชีวิตนิรันดร์ก็ยังเรียนเรื่องพระเจ้าไม่จบ
ประเด็นที่สอง พระกำลังของพระองค์ตามอย่างที่พระองค์ ทรงเป็น
เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตของเราที่เชื่อต้องดำเนินอย่างไร
ประเด็นที่สาม แสวงหาพระพักตร์พระองค์
พระคัมภีร์บันทึกเป็นสำนวนแบบของมนุษย์ ทั่วๆไป ตัวอย่างเวลาที่เราคุยโทรศัพท์กับคนที่ไม่เห็นหน้านานๆ ไม่เคยรู้จักหน้าเขามาก่อน เวลาเจอหน้าเขา เราก็ไม่รู้จักว่าเป็นคนที่เราคุยโทรศัพท์มาตั้งนาน
พระคัมภีร์บันทึกเป็นสำนวนให้แสวงหาพระพักตร์ หมายถึง ต้องรู้จักพระเจ้า
อพย33:13 และบัดนี้ ถ้าข้าพระองค์เป็นที่โปรดปรานในสายพระเนตรของพระองค์แล้ว ขอโปรดสำแดงพระมรรคาของพระองค์แก่ข้าพระองค์ แล้วข้าพระองค์จะรู้จักพระองค์ เพื่อข้าพระองค์จะเป็นที่โปรดปรานในสายพระเนตรของพระองค์ และขอทรงนับชนชาตินี้เป็นประชากรของพระองค์”
โมเสสขอรู้จักมรรคาพระเจ้า หมายถึง ขอรู้จักองค์พระเจ้าเลย แต่พระเจ้า ไม่สามารถเปิดเผยตามที่โมเสสขอได้ ข้อ14-15 เขายืนยันคำขอ ข้อ17 พระเจ้า รับปากแต่ไม่หนักแน่น ข้อ19-20 เจ้าจะเห็นหน้าของเราไม่ได้เพราะจะตาย โมเสสอยากเห็นพระมรรคา พระสิริ เห็นพระพักตร์ ทั้งหมดหมายถึง พระยาห์เวห์ แต่พระเจ้าสำแดงให้ไม่ได้ เพราะมนุษย์ ไม่สามารถรับส่ิงที่เขาขอได้
วันนี้เราจะขยายความเพื่อศึกษาเรื่อง
การแสวงหาพระเจ้า เพื่อดำเนินชีวิตคริสเตียน หมายถึง อะไรบ้าง
ประการที่ 1 หมายถึง การแสวงหาความเป็นบุคคลของพระเจ้า
ไม่ใช่แค่แสวงหาพระมรรคา หรือพระสิริ หรือพระพัตร์ แต่รวมไปถึงการแสวงหาพระเจ้า เพื่อให้รู้นิสัย รู้พระทัย รู้ความคิด รู้ทุกอย่างที่เกี่ยวข้อง กับความเป็นบุคคลของพระเจ้า จิตใจเราต้องรู้สึกกระหายอยากรู้จักพระเจ้า เมื่อแสวงหาพระเจ้า เราสนใจว่าพระองค์รู้สึกอย่างไร พระองค์คิดอย่างไร พระนามของพระองค์เป็นอย่างไร ยาห์เวห์พระองค์เป็นอย่างที่พระองค์เป็น ไม่ใช่ไปสร้างรูปเคารพเพื่อพยายามที่จะอธิบายว่าพระองค์เป็นพระเจ้าสัพพัญญู มนุษย์เลยสร้างพระเจ้าให้มีสิบหน้าเลย บางศาสนาก็สร้างสี่หน้า
เราแสวงหาพระเจ้าเพื่อเราจะมีสามัคคีธรรมกับพระเจ้า เพื่อเราจะนมัสการพระเจ้า ให้ใกล้เคียงกับที่พระเจ้าทรงเป็นพระองค์เองมากที่สุด เพื่อเราจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระเจ้า เช่น เราเป็นประชากรของพระเจ้า พระเจ้าเป็นกษัตริย์ พระเจ้านำเสนอเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า ความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้า ก็เป็นแบบประชากรกับกษัตริย์ พระเจ้าปกครองเรา
พระเจ้าไม่ต้องรอการบนบานของเรา พระองค์ไม่รับสินบน พระเจ้าไม่คอรัปชั่น ดังนั้นไม่ต้องติดสินบนให้พระเจ้า เมื่อเวลาที่เราอธิษฐาน เราไม่ต้องไปต่อรองการถวายกับพระเจ้า ถ้าพระองค์ทำอย่างนี้ให้เราจะถวายอย่างนั้น เราไม่ต้องทำอย่างนั้นเลย
หรือความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเจ้าเป็นแบบพ่อลูก
1ปต1:14เช่นเดียวกับบุตรที่เชื่อฟัง อย่าประพฤติตามกิเลสตัณหา อันเกิดจากความโง่เขลาของพวกท่านในอดีต
บุตรจะเชื่อฟังบิดา คริสเตียนจะรู้จักพระเจ้าเมื่อเราเชื่อฟัง แม้บางครั้งดูเหมือนไม่สมเหตุสมผล ไม่น่าเชื่อฟัง หรือความสัมพันธ์เหมือนผู้เลี้ยงกับแกะ แกะต้องวางใจผู้เลี้ยง แกะจะไม่ถามผู้เลี้ยงว่าทำไมนำมาทางนี้
ขอให้เราแสวงหาพระเจ้าแบบที่พระองค์ ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเจ้า บางครั้งเปรียบเทียบเป็นเถาองุ่นกับแขนง เจ้าบ่าวกับเจ้าสาว อวัยวะกับศรีษะ ในพระคัมภีร์ยังมีอีกหลายๆความสัมพันธ์ที่เราต้องศึกษา
ประการที่ 2 หมายถึง การแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า
มธ6:33 แต่พวกท่านจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงนี้ให้
การแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า ก็เหมือนการแสวงหาพระเจ้า เป็นการแสวงหาการปกครองของพระเจ้า ชีวิตของเราจะไม่รุ่งเรืองถ้าไม่มีใครที่ดีมาปกครองเรา มาเปลี่ยนแปลงเรา นำเราให้ไปสู่อนาคตที่ดี
หากพระเจ้าเข้ามาเป็นผู้ปกครองชีวิตของเรา พระเจ้ารักเรา พระองค์ หวังดีกับเรา พระองค์เก่งกว่าเรา พระองค์สามารถควบคุมสถานการณ์ใน อนาคตที่เราไม่รู้ได้ พระเจ้ามาปกครองเราทำให้ชีวิตเราดีขึ้น
ถ้าเราดำเนินชีวิตไปเพียงลำพัง เราเก่งอยู่คนเดียวเราจะไปได้ไม่ไกล เราจะไปไม่ถูกเมื่อต้องตัดสินใจเรื่องสำคัญๆ แต่ถ้าเราไปตามพระเจ้า ผู้ที่ปกครองเรา และช่วยเรา เราจะได้สิ่งที่ดีกว่า ถ้าเรารู้แบบนี้ เราควรจะยินดี เราจะไม่ดื้อเลย เราจะเปลี่ยนจากที่ ทุกก้าวเราทำตามใจตนเองเราเละทุกก้าว แต่กลับใจมาตามพระเจ้าดีกว่า จะได้ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมกว่า
ตัวอย่าง ก้าวตามพระเจ้ามันใช่ เพราะทุกๆก้าวมีพระพรรออยู่ ทุกๆก้าวเปี่ยมไปด้วยพระพร บนเส้นทางของพระเจ้าแม้ดูน่ากลัวแต่ไม่มีอันตราย
สดด23:4 แม้ข้าพระองค์จะเดินฝ่าหุบเขาเงามัจจุราชข้าพระองค์ไม่กลัวอันตรายใดๆเพราะพระองค์สถิตกับข้าพระองค์คทาและธารพระกรของพระองค์ปลอบโยนข้าพระองค์
ไม่กลัวมัจจุราช ไม่กลัวความตาย เพราะพระเจ้าสถิตย์อยู่กับเรา การแสวงหาพระเจ้า คือ การแสวงหาการปกครองของพระเจ้า เรายอมให้พระองค์เข้ามาควบคุมชีวิต นี่คือ ธรรมชาติชีวิตคริสเตียน และธรรมชาติมนุษย์ ที่พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์มา มนุษย์จะมีความสมบูรณ์ จะมีความสุข ขึ้นอยู่กับพระดำรัสของพระเจ้า ขึ้นอยู่กับคำสั่งคำสอน หรือคำพูดของพระเจ้า
ในปฐมกาลมีข้อห้ามข้อเดียว “อย่ากินจะตาย” เมื่อมนุษย์ ยอมอยู่ใต้พระคำพระเจ้า มนุษย์จะรุ่งเรือง สะดวก สบาย สนุก ไม่ต้องใช้สตางค์เลยในเวลานั้น แต่พอมนุษย์ละเลยพระคำพระเจ้า อยากเป็นแบบที่ตัวอยากเป็น ความบาป ความทุกข์ยาก การแช่งสาปจึงเข้ามาในชีวิตของมนุษย์ พระเจ้าเลยต้องพาเรากลับมาที่พระคำของพระเจ้า เพื่อเราจะมีชีวิตที่มีความสมบูรณ์ มีความสุข การแสวงหาพระเจ้า ทำให้เราเจอพระคำพระเจ้า เจอวิถีของพระเจ้า และเจอพระเยซู
ประการที่ 3 หมายถึง การแสวงหาความชอบธรรมของพระองค์
มธ6:33 แต่พวกท่านจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงนี้ให้
ชีวิตมนุษย์จะดำรงอยู่อย่างยั่งยืนและมั่นคง บนฐานความชอบธรรมของพระเจ้า ไม่ใช่ฐานความดี หรือบุญกุศลของเรา ความดีเหล่านี้ไม่พอที่จะ ใช้หนี้อกุศลต่างๆมากมายที่เราทำมา เราต้องอาศัยความชอบธรรมของพระเจ้า เพื่อเราจะขอพระเมตตาของพระเจ้า ขอความชอบธรรมของพระเจ้า เข้ามาแทนที่ความอธรรมของเรา นั่นแหละเป็นความยั่งยืนของชีวิต
การทำเช่นนี้ทำให้เราไปสู่ชีวิตนิรันดร์ ไปสู่ชีวิตที่รุ่งเรือง อยู่ในนรกนิรันดร์ไม่มีใครอยากไปแม้จะเป็นชีวิตนิรันดร์เช่นกัน คริสเตียนจะมีชีวิตนิรันดร์ในสวรรค์
ความชอบธรรมปรากฎอยู่ในพระคริสต์ ความชอบธรรมมาจากการสิ้น พระชนม์และเป็นขึ้นจากตายของพระเยซู
ประการที่ 4 หมายถึง การแสวงหาพระเจ้า ด้วยขั้นตอนชอบธรรม
ขั้นตอนที่หนึ่ง ใช้ความเชื่อ
รม5:1 เพราะฉะนั้น เมื่อเราถูกชำระให้ชอบธรรมโดยความเชื่อแล้ว เราจึงอยู่อย่างสงบสุขเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าทางพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา
ชำระให้ชอบธรรมโดยความเชื่อ
ขั้นตอนที่สอง โดยการรักษาชีวิตที่ชอบธรรมจากพระเจ้านี้ให้คงอยู่ตลอดไปโดยการดำเนินชีวิตในความชอบธรรมของพระเจ้าต่อไปอย่างต่อเนื่อง
รม6:12-13 เพราะฉะนั้นอย่าให้บาปครอบงำกายที่ต้องตายของท่าน ซึ่งทำให้ต้องเชื่อฟังตัณหาของกายนั้น 13อย่ายกอวัยวะของท่านให้แก่บาป ให้เป็นเครื่องใช้ในการอธรรม แต่จงถวายตัวของท่านแด่พระเจ้า เหมือนคนที่เป็นขึ้นมาจากตายแล้ว และจงให้อวัยวะเป็นเครื่องใช้ในการชอบ ธรรมถวายแด่พระเจ้า
อย่าเชื่อฟังตัณหา อย่ายกอวัยวะให้แก่บาป ไม่ว่าจะเป็นตา ดูอะไร มือทำอะไร ปากพูดอะไร หูฟังอะไร แม้แต่ก้นไปนั่งอยู่ที่ไหน
การแสวงหาพระเจ้า ด้วยความชอบธรรมเพื่อใช้ชีวิตชอบธรรม
ประการที่ 5 หมายถึง การแสวงหาพระมรรคา
เป็นการแสวงหาแนวทางการดำเนินชีวิตสำหรับเรา ตามที่พระเจ้า กำหนดไว้ให้เราดำเนิน เพราะเราแตกต่างจากคนอื่น คนไม่เชื่อ พระมรรคาไม่เปิดเผยสำหรับคนอื่น หรือคนไม่เชื่อ แต่เปิดเผยสำหรับคนของพระเจ้า
ถ้าเราไม่แสวงหามรรคา มันจะถูกปิดบังไว้ มรรคาเกี่ยวข้องกับสง่าราศี ศักดิ์ศรี ความสดใส ซึ่งไม่มีทางไหน หรือมรรคาไหนในโลกที่จะให้ได้ แต่พระเจ้ากำหนดมรรคานี้ให้เราแล้ว เพื่อเราจะได้รับสง่าราศี ศักดิ์ศรี
ขอให้เราระมัดระวังความสำเร็จจากวิธีของตนเอง ที่เราคิดเองว่าเราสำเร็จได้ด้วยตนเองซึ่งดีกว่าทางของพระเจ้า มนุษย์ไม่อยากเดินในมรรคาของพระเจ้า ที่ไม่อยากเดินเพราะทางนั้นแคบ ดูน่ากลัว ประตูก็แคบ ทางของพระเจ้าผ่านหุบเขาเงามัจจุราช แต่ไม่น่ากลัวเพราะจะไม่มีอันตรายใดๆเกิดขึ้นกับเรา
ใครจะเชื่อพระเจ้าต้องเดินทางแคบ คนไม่เชื่อพระเจ้าเลยไม่เดินในมรรคาของพระเจ้า แต่คนที่แสวงหาพระเจ้าจริงจังจะพบเส้นทางของพระเจ้า ที่ดูเหมือนน่ากลัว แต่ไม่น่าอันตราย เป็นมรรคาที่นำไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง
การเดินทางสำคัญ คือ อยู่ที่ปลายทางไม่ใช่หนทางที่เดินทาง
2คร5:17 ฉะนั้นถ้าใครอยู่ในพระคริสต์ เขาก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆ ก็ล่วงไป นี่แน่ะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น
สิ่งที่ถูกสร้างใหม่กลายเป็นส่ิงใหม่ที่ดีทั้งนั้น
แสวงหาพระเจ้าจริงๆเป็นเรื่องที่ไม่ยากจนเกินไป
สดด119:10 ข้าพระองค์แสวงหาพระองค์ด้วยสุดใจ ขออย่าให้ข้าพระองค์หลงไปจากพระบัญญัติของพระองค์
แสวงหาพระเจ้า คือ การแสวงหาจากพระคัมภีร์ ไม่ใช่แสวงหาปรัชญา แบบโลก ขอให้แสวงหาด้วยสุดใจ แต่ถ้าพระเจ้าไม่เปิดเผยคุณจะไม่เจอ
ยรม29:13-14 เจ้าจะแสวงหาเราและพบเราเมื่อเจ้าแสวงหาเราด้วยสิ้นสุดใจของเจ้า’ 14พระยาห์เวห์ตรัสว่า ‘เราจะให้เจ้าพบเรา และเราจะให้เจ้ากลับสู่สภาพดีและรวบรวมเจ้ามาจากบรรดาประชาชาติและจากทุกที่ที่เราขับไล่เจ้าให้ไปอยู่นั้น พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้แหละ และเราจะนำเจ้ากลับมายังที่ซึ่งเราเนรเทศเจ้าให้จากไปนั้น’
เราจะให้เจ้าพบเรา และนำเจ้ากลับสู่สภาพดี เราจะไม่ตกต่ำอีกต่อไป ถ้าเราไม่ทอดทิ้งพระเจ้า แต่ให้แสวงหาพระมรรคาของพระเจ้า แสวงหาการปกครองของพระเจ้า แสวงหาความชอบธรรมของพระเจ้า
ให้เราร่วมใจอธิษฐาน