คริสตจักรขอบพระคุณ ๑๖ กพ. ๒๐๑๙
อ.ประยูร ลิมหุตะเศรณี สอนสัมมนา ตอนที่ 2 “รักซึ่งกันและกัน”
4. รม.15:1 ข้อเท็จจริงของผู้ที่มีความรักซึ่งกันและกัน
ประการที่ 4 ต้องเรียนรู้จากการเอาชนะตนเอง
ข้อเท็จจริงประการนี้ มาจากประโยคสุดท้ายของ โรม15:1 ซึ่งมีใจความว่า “และไม่ควรทำสิ่งใดตามความพอใจของตัวเอง” การที่เราจะไม่ทำตามความพอใจของตนเองได้นั้นมาจากการที่เราต้องต่อสู้กับตนเอง ดังนั้นต้องเรียนรู้เอาชนะต่อตนเองหรือปฎิเสธตนเอง ถ้าเราแพ้เราทำตามความพอใจของตนเอง
พวกเราทุกคนต้องเข้าใจให้ตรงกันว่า พวกเราที่เป็นคนของพระเจ้ามีสิ่งที่ต้องรับผิดชอบต่อพระเจ้าร่วมกันคือการรับใช้พระเจ้า และความรับผิดชอบของเราที่กำลังทำในฐานะที่เป็นผู้รับใช้พระเจ้าร่วมกันนี้ ไม่ใช่งานที่เราจะทำเพื่อตัวเอง แต่เป็นงานที่เราทำเพื่อเป็นพรกับผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นอัครฑูต ผู้เผย ศิษยาภิบาล งานที่ทำเป็นพรกับคนอื่น งานนี้เรียกร้องให้เราต้องมีความอดทนสูงต่อคนอื่นและเรียกร้องให้รู้จักเสียสละเพื่อผู้อื่นเสียสละ เวลา แรงงาน ทรัพย์สินเงินทอง ความรู้สติปัญญารอบคอบ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เราทั้งหลายที่เป็นคนของพระเจ้าในระดับผู้นำต้องระวังเรื่องนี้เป็นพิเศษ เพราะผู้นำมักจะมีแนวโน้มที่จะเรียกร้องให้คนอื่นทำตามความพอใจของเรา แต่เรามักจะไม่พูดแบบนั้น เราใช้คำพูดอีกลักษณะหนึ่งว่า
เป็นการทำตามความคิดเห็นของเรา ที่เป็นเนื้อหนังของเราเอง จะทำลายความรัก การรับใช้ที่ต้องร่วมงานกัน ถ้าเขาเกิดไม่ทำตามความคิดเห็นของเรา
เราก็จะเกิดความไม่พอใจ ซึ่งเป็นบ่อนทำลายที่มีพลังอันกล้าแข็งจากเนื้อหนังของเราเอง จะทำลายความรักที่มีต่อกันและกัน ทำลายการรับใช้ทุกอย่างที่ต้องร่วมแรงร่วมใจกันทำ
คริสตจักร ของพระเจ้า ต้องไปด้วยกัน ทำด้วยกัน ไม่ปล่อยให้อวัยวะหนึ่ง อวัยวะใดทำอยู่ฝ่ายเดียว ถ้าไม่รักซึ่งกันและกันแล้วจะเกิดความร่วมมือกันไม่ได้ ทำให้มีส่วนร่วมมือกันทุกฝ่าย ร่วมกันรับใช้พระเจ้าด้วยกัน อย่าปล่อยตัวเองเฉยๆไม่ทำอะไรในการรับใช้พระเจ้า ในคริสตจักร
พระเยซูทรงกำหนดเรื่องการเอาชนะตัวเอง เป็นเงื่อนไขประการแรกสำหรับผู้ที่คิดจะตัดสินใจในการติดตามพระองค์ คือ การปฎิเสธตนเอง เอาชนะตนเอง
ลก.9:23พระองค์จึงตรัสกับพวกเขาทุกคนว่า “ถ้าใครต้องการจะมาติดตามเรา ให้คนนั้นปฏิเสธตนเอง รับกางเขนของตนแบกทุกวันและตามเรามา
เรามีสิทธิที่จะเลือกที่จะตามหรือไม่ก็ได้ ถ้าจะตามต้องรับเงื่อนไขเหล่านี้เริ่มจาก ปฎิเสธตนเอง ผู้นำระวังสำคัญตัวเองผิดคิดว่าตัวเองเจ๋ง มีประสบการณ์เยอะ ผ่านโลกมาเยอะ ไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย แต่เมื่อถ่อมใจ สำคัญตัวเองใหม่ นั่งลงใคร่ครวญจะพบว่ามีหลายอย่างที่ได้เรียนรู้มากมาย อย่าสำคัญตัวเองผิด เพราะจะมีตนเองเป็นศูนย์กลางไม่ใช่พระเจ้า แล้วอ้างพระเจ้า ว่าสำแดงอย่างนั้นอย่างนี้ พระเจ้าเป็นศูนย์กลางคือ พระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่ใช่เนื้อหนัง
ส่ิงที่เราทำต้องคำนึงถึงคนอื่น ทำแล้วคนอื่นดีขึ้นไหม ถ้าไม่ดีขึ้นเราไม่ทำแม้ไม่ผิดกฎหมาย ผิดศิลธรรม ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน พระเยซูอยู่ที่ไหนมีแต่คนเดือดร้อนมาหา พระองค์เป็นพระพร หากเราทำให้คนอื่นได้รับพระพรแต่เราเดือดร้อน ขอให้ทำ
พระเยซู เดือดร้อนสุดขีด เราได้รับประโยชน์พระองค์ตายเพื่อเรา
พ่อแม่ยอมเดือดร้อนหมดอนาคตเพื่อให้ลูกไปต่อได้มีอนาคต
ผู้ที่ปรารถนาถวายเกียรติพระเจ้า ด้วยการรักซึ่งกันและกันพร้อมที่จะเสียสละสิทธิในการทำตามความพอใจของตนเองอย่างสิ้นเชิง
ข้อความที่ว่า “ไม่ควรทำสิ่งใดตามความพอใจของตัวเอง” หมายความว่าเราจะทำตามความพอใจของเราก็ได้ ไม่มีอะไรผิด แต่เราเลือกที่จะไม่ทำ ถ้าการกระทำเช่นนั้นไม่ได้ช่วยให้คนอื่นดีขึ้น (ถึงแม้ว่าการกระทำนั้นจะไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดศีลธรรม ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนหรือเกิดความเสียหายใดๆ และนำประโยชน์มาสู่ตัวเอง เพียงแต่ไม่ได้ทำให้ใครดีขึ้น ก็ไม่ทำ)
ผู้ที่ปรารถนาจะถวายเกียรติยศต่อพระเจ้าด้วยการเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันจากความรักซึ่งกันและกันอย่างแท้จริงต้องพร้อมที่จะเสียสละในการทำตามความพอใจของตนเองอย่างสิ้นเชิง
ข้อเท็จจริงประการนี้มีส่วนช่วยให้ การโต้เถียงกัน และการทะเลาะกันหมดไป เพราะเราไม่ได้มาเพื่อเอาชนะคนอื่น แต่มาเป็นพรต่อคนอื่นโดยการไม่ทำตามความพอใจตนเองอย่างสิ้นเชิง
มีสัจจะธรรมของเรื่องนี้อีกประการหนึ่งคือ
คุณค่าของการเอาชนะคนอื่นนั้นต่ำต้อยกว่าคุณค่าของการเอาชนะตัวเองมากมายจริงๆ
เพราะ“การเอาชนะคนอื่นนั้นทำให้ตนเองชนะคนเดียว และจะต้องมีใครบางคนที่อยู่รอบตัวท่านได้รับความเสียหายเพราะความพ่ายแพ้ แต่เมื่อใดก็ตาม ที่ท่านเอาชนะตัวเอง ท่านไม่ได้ชนะคนเดียวเพราะได้ช่วยคนรอบข้างทุกคนพบชัยชนะร่วมกันกับท่านด้วยโดยไม่มีใครที่จะรู้สึกอับอายเพราะความพ่ายแพ้แม้แต่คนเดียว
5. รม.15:2 ข้อเท็จจริงของผู้ที่มีความรักซึ่งกันและกัน
ประการที่ 5 คำนึงถึงความจิตใจและพัฒนาการที่จะเกิดขึ้นกับคนอื่น
จากเนื้อความที่ว่า “เราทุกคนจงกระทำให้เพื่อนบ้านพอใจเพื่อนำประโยชน์และการพัฒนามาให้เขา”
หมายถึง นอกจากเราจะไม่ทำตามความพอใจของเราแล้ว เรายังต้องคำนึง ถึงความพอใจและผลประโยชน์ที่พึงจะเกิดขึ้นกับคนอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่จะช่วยให้พวกเขาเจริญเติบโตขึ้น ในเรื่องจิตวิญญาณ
ในเรื่องนี้ เราต้องหมั่นสำรวจดูท่าทีอยู่ตลอดเวลา เพื่อเราจะไม่ตกลงไปในหลุมพรางของเนื้อหนัง ซึ่งทำให้เราเรียกร้องให้คนอื่นต้องอดทนต่อเรา เรียกร้องเพื่อที่จะทำให้เราบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ การกระทำเช่นนั้นแสดงว่าเรากำลังใช้เขาทำในสิ่งที่จะก่อเกิดผลประโยชน์ให้แก่ตัวเราเอง และถ้าในที่สุดเขาไม่สามารถทำตามเราต่อไปได้ เราก็จะเชิญเขาออก เพราะไม่รู้สึกว่าเป็นความเลวร้าย แต่กลับภูมิใจที่ได้กำจัดอุปสรรคออกไป เพราะเขาไม่เป็นประโยชน์แก่เราอีกต่อไป ไม่รู้จะเก็บไว้ทำไม
(ต้องระวังอย่าให้สิ่งนี้เกิดขึ้นโดยเด็ดขาด เพราะถ้าเกิดขึ้นกับใคร คนๆนั้นมักจะไม่รู้สึกตัวว่าเป็นความเลวร้ายแต่กลับรู้สึกภาคภูมิ ใจว่าได้กำจัดอุปสรรค์อะไรบางอย่างไป และกล่าวโทษคนที่ไม่ยอมทำตามใจเราว่า เป็นผู้ที่ไม่ยอมให้ความร่วมมือ เป็นต้น)
คนของพระเจ้าพระเจ้าเช่นนี้ไม่สามารถเป็นที่จะพรในด้านการพัฒนาให้กับใครได้เลยแม้แต่กับตัวเอง คำสอนจากพระคัมภีร์
ฟป.2:4อย่าให้ต่างคนต่างเห็นแก่ประโยชน์ของตนเอง แต่จงเห็นแก่ประโยชน์ของคนอื่นๆ ด้วย
อย่าเห็นแก่ประโยชน์ของตนฝ่ายเดียว ความสุขของเรามาจากความสำเร็จของคนอื่น ทำให้คุณค่าความเป็นคนเราเพิ่มขึ้น พระเยซู ตายไถ่เราเรามีคุณค่ามาก อย่าอยู่เพื่อตนเอง เพราะคุณค่าตำ่มาก
2คร.5:15และพระองค์สิ้นพระชนม์เพื่อทุกคน เพื่อบรรดาคนที่มีชีวิตอยู่จะไม่อยู่เพื่อตัวเองอีกต่อไป แต่จะอยู่เพื่อพระองค์ที่สิ้นพระชนม์ และทรงเป็นขึ้นมาเพราะเห็นแก่เขาทั้งหลาย
ไม่อยู่เพื่อตนเอง แต่อยู่เพื่อพระองค์
1คร9:19-23 แม้ว่าข้าพเจ้าเป็นไทโดยไม่ได้อยู่ใต้ใคร ข้าพเจ้าก็ยังยอมเป็นทาสของทุกคน เพื่อจะได้คนมามากยิ่งขึ้น 20ต่อพวกยิวข้าพเจ้าก็เป็นเหมือนยิว เพื่อจะได้พวกยิวมา ต่อพวกที่อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ ข้าพเจ้าก็เป็นเหมือนคนอยู่ใต้ธรรมบัญญัติ (แต่ตัวข้าพเจ้าไม่ได้อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ) เพื่อจะได้พวกที่อยู่ใต้ธรรมบัญญัตินั้นมา 21ต่อพวกที่อยู่นอกธรรมบัญญัติข้าพเจ้าก็เป็นเหมือนคนนอกธรรมบัญญัติ (ข้าพเจ้าไม่ได้อยู่นอกพระบัญญัติของพระเจ้า แต่อยู่ใต้พระบัญญัติแห่งพระคริสต์) เพื่อจะได้พวกที่อยู่นอกธรรมบัญญัตินั้นมา 22ต่อพวกคนอ่อนแอข้าพเจ้าก็เป็นคนอ่อนแอเพื่อจะได้พวกคนอ่อนแอมา ข้าพเจ้ายอมเป็นคนทุกแบบต่อทุกคน เพื่อช่วยบางคนให้รอดโดยทุกวิถีทาง 23ข้าพเจ้าทำทุกอย่าง เพราะเห็นแก่ข่าวประเสริฐเพื่อข้าพเจ้าจะได้มีส่วนในข่าวประเสริฐนั้น
ทำทุกอย่างเพื่อคนอื่น
6. รม.15:3 ข้อเท็จจริงของผู้ที่มีความรักซึ่งกันและกัน
ประการที่ 6 ไม่ติดอยู่กับลาภยศสรรเสริญ
“เพราะว่าพระคริสต์ก็มิได้ทรงกระทำสิ่งที่พอพระทัยพระองค์ ตามี่มีคำเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า คำพูดเยาะเย้ยของบรรดาผู้ที่เยาะเย้ยท่าน ตกอยู่แก่ข้าพระองค์” ข้อความประโยคท้ายนี้อ้างอิงมาจากคำพูดของกษัตริย์ดาวิดในยามที่ชีวิตกำลังเผชิญกับวิกฤติที่เลวร้าย(สดด.69:9) พระเจ้าทรงโปรดให้กษัตริย์ดาวิดกล่าวข้อความนี้เป็นคำพยากรณ์ที่หมายถึงองค์พระเยซูคริสต์เจ้า
ในเมื่อองค์พระเยซูคริสต์ในฐานะที่เป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่และสูงสุดของเราทรงยินดีที่จะรับการเยาะเย้ยแทนเราในลักษณะเดียวกับที่กษัตริย์ดาวิดทรงรับการดูถูก เหยียดหยาม เยาะเย้ยแทนประชากรของพระองค์ เราทั้งหลายที่เป็นสาวกขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า ก็จะได้รับการเยาะเย้ยเช่นเดียวกัน ซึ่งความจริงเรื่องนี้องค์พระเยซูคริสต์ได้ทรงเตือนเราไว้แล้วในสมัยของพระองค์
ตามที่ปรากฏในพระธรรม ยอห์น 15:20 “จงระลึกถึงคำที่เราได้กล่าวแก่ท่านทั้งหลายแล้วว่า บ่าวมิได้เป็นใหญ่กว่านาย ถ้าเขาข่มเหงเรา เขาก็จะข่มเหงท่านทั้งหลายด้วย ถ้าเขาปฏิบัติตามคำของเรา เขาก็จะปฏิบัติตามคำของท่านทั้งหลายด้วย”
ดังนั้นเราต้องพร้อมที่จะรักกันโดยไม่หวังอะไรจะรักได้ เมื่อถูกคนอื่นเยาะเย้ย ดูถูก เหยียดหยาม หรือขับไล่ใสส่งต่อหน้าธารกำนัล โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ใหญ่หรือผู้นำ
แต่ถ้าเรายังติดอยู่กับลาภยศสรรเสริญเราก็ไม่สามารถที่จะทนรับสภาพการเยาะเย้ยดังกล่าวได้
แม้แต่แค่คนที่อยู่ภายใต้การนำของเราไม่ได้ให้เกียรติ์เราเท่าที่ควรตามความคิดของเรา เราก็ทนไม่ได้แล้ว(ผู้นำ,ผู้ที่มีตำแหน่งหรือมีศักดิ์เป็นศาสนาจารย์ต้องระวังเป็นพิเศษ)
ผู้นำต้องระมัดระวังที่ต้องการเกียรติ จริงๆคนให้เกียรติกับคนที่มีชีวิตเป็นพรต่อพวกเขา ชีวิตตัวจริงในสายตาและนอกสายตาขอให้เป็นคนคนเดียวกัน พระเยซูเป็นพรได้กับทุกคนเพราะไม่ติดกับลาภยศสรรเสริญ คนที่ติดกับสิ่งเหล่านี้จะเป็นพรได้ระดับเดียว
ความจริงประการหนึ่งเกี่ยวกับ “เกียรติ์” คือไม่มีใครจะไม่ให้เกียรติ์แก่คนที่มีชีวิตเป็นพระพรต่อพวกเขาอย่างแท้จริง