ลักษณะชีวิตคริสเตียนที่ดำเนินชีวิต “สัมพันธ์สนิทกับคริสตจักรของพระคริสต์” (ชุมชนของพระเจ้า:เรียนรู้จากลักษณะคริสตจักรทั้งเจ็ด วว2:1-3:22)
ก้าวที่ 38 เรียนรู้จาก:คริสตจักรเมืองเอเฟซัส (วว2:1-7)
ก้าวที่ 39 เรียนรู้จาก:คริสตจักรเมืองสเมอร์นา (วว2:8-11)
ก้าวที่ 40 เรียนรู้จาก:คริสตจักรเมืองเปอร์กามัม (วว2:12-17)
ก้าวที่ 41 เรียนรู้จาก:คริสตจักรเมืองธิยาทิรา (วว2:18-29)
ก้าวที่ 42 เรียนรู้จาก:คริสตจักรเมืองซาร์ดิส (วว3:1-6)
ก้าวที่ 43 เรียนรู้จาก:คริสตจักรเมืองฟีลาเดลเฟีย (วว3:7-13)
ก้าวที่ 44 เรียนรู้จาก:คริสตจักรเมืองเลาดีเซีย (วว:14-22)
ก้าวที่ 45 เรียนรู้จาก:ความสัมพันธ์ของพระเยซูคริสต์กับคริสตจักร
ก้าวที่ 46 เรียนรู้จาก: การรับรู้ของพระเยซูคริสต์ที่มีต่อคริสตจักร
ก้าวที่ 47 เรียนรู้จาก:ทัศนคติของพระเยซูคริสต์ต่อคริสตจักร
ก้าวที่ 48 เรียนรู้จาก:พระสัญญาของพระเยซูคริสต์ที่มีต่อคริสตจักร
ลักษณะชีวิตคริสเตียนที่ดำเนินชีวิต
“สัมพันธ์สนิทกับคริสตจักรของพระคริสต์”
(ชุมชนของพระเจ้า:เรียนรู้จากลักษณะ
คริสตจักรทั้งเจ็ด วว2:1-3:22)
ก้าวที่ 40 เรียนรู้จาก:คริสตจักรเมืองเปอร์กามัม (วว2:12-17)
ตอนที่ 3 เรียนรู้จากคริสตจักรเมืองเปอร์กามัม วว2:12-17
1.เรียนรู้จาก:ความสัมพันธ์ของพระเยซูคริสต์กับคริสตจักร
2.เรียนรู้จาก:การรับรู้ของพระเยซูคริสต์ต่อคริสตจักร
3.เรียนรู้จาก:ทัศนคติของพระเยซูคริสต์ต่อคริสตจักร
4.เรียนรู้จาก:พระสัญญาของพระเยซูคริสต์ต่อคริสตจักร
โดย อ.กิจขจร ลิ่วเฉลิมวงศ์ (8 พ.ค. 2020)
ถ้อยคำถึงคริสตจักรเมืองเปอร์กามัม
12“จงเขียนถึงทูตสวรรค์ของคริสตจักรที่เมืองเปอร์กามัมว่า ‘พระองค์ผู้ทรงถือดาบสองคมที่คมกริบตรัสดังนี้ว่า
13“เรารู้จักที่อยู่ของเจ้า ที่ซึ่งเป็นบัลลังก์ของซาตาน ถึงกระนั้นเจ้าก็ยึดมั่นในนามของเรา และไม่ปฏิเสธความเชื่อในเรา แม้ในเวลาที่อันทีพาสพยานผู้ซื่อสัตย์ของเราต้องถูกฆ่าท่ามกลางพวกเจ้า ในที่ซึ่งซาตานอยู่นั้น 14แต่เรามีข้อที่จะต่อว่าเจ้าสองสามข้อ คือเจ้ามีบางคนที่ยึดถือคำสอนของบาลาอัมอยู่ที่นั่น ผู้ซึ่งสอนบาลาคให้วางสิ่งสะดุดต่อหน้าพวกอิสราเอล คือให้พวกเขากินอาหารที่บูชารูปเคารพและล่วงประเวณี 15เช่นเดียวกันเจ้าก็มีคนที่ยึดถือคำสอนของพวกนิโคเลาส์ด้วย 16เพราะฉะนั้นจงกลับใจใหม่ มิฉะนั้นเราจะมาหาเจ้าโดยเร็ว และจะต่อสู้กับพวกเขาด้วยดาบในปากของเรา 17ใครมีหูก็ให้ฟังข้อความที่พระวิญญาณตรัสกับคริสตจักรทั้งหลาย เราจะให้มานาที่ซ่อนอยู่แก่คนที่ชนะ และจะให้หินขาวแก่เขาด้วย และบนหินนั้นจะมีชื่อใหม่จารึกไว้ซึ่งไม่มีใครรู้เลยนอกจากผู้ที่ได้รับ”
เบื้องหลังของพระธรรม วว2:12-17 ตอนนี้ เป็นคริสตจักรลำดับที่ 3 จาก 7 คริสตจักร ที่ยอห์นได้รับการสำแดงจากพระเยซูคริสต์ ให้เขียนไว้ในหนังสือม้วน และส่งไปให้คริสตจักรทั้งเจ็ด (วว1:11) เนื้อหาสำหรับคริสตจักรเปอร์กามัมเป็นเรื่องการเตือนคริสตจักรเมืองเปอร์กามัมให้ระวังการประณีประนอม ผ่านคำสอนเท็จ นำไปสู่การทดลอง และล้มลงในความเชื่อในที่สุด
การนำเรื่องคริสตจักรทั้งเจ็ดมาเทศนาสั่งสอน เพราะต้องการให้ผู้อ่านและผู้ฟัง มีลักษณะชีวิตคริสเตียน โดยดำเนินชีวิตคริสเตียน “สัมพันธ์สนิทกับคริสตจักรของพระคริสต์”
หมายความว่า ท่านไม่ควรดำเนินชีวิตคริสเตียนเพียงลำพังโดยไม่ผูกพันตัวกับผู้เชื่อคนอื่น พระเจ้าต้องการให้มีการสามัคคีธรรมกับผู้เชื่อในท้องถิ่น หรือสามัคคีธรรมกับชุมชนของพระเจ้าด้วย
โดยท่านสามารถเรียนรู้จากลักษณะคริสตจักรทั้งเจ็ด เพื่อสำรวจตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างชีวิตของท่านกับชุมชนของพระเจ้า หรือคริสตจักรท้องถิ่นที่ท่านผูกพันตัว เป็นไปตามพระประสงค์ของพระเจ้าที่ให้ยอห์นบันทึกไว้
วว2:12“จงเขียนถึง ทูตสวรรค์ของคริสตจักรที่เมืองเปอร์กามัมว่า
“ฑูตสวรรค์” อาจจะหมายถึง ฑูตสวรรค์ที่เป็นวิญญาณจริงๆก็ได้หรือเป็นผู้นำผู้ปกครอง หรือศิษยาภิบาลของคริสตจักรก็ได้ การแปลความให้ใช้บริบทของเนื้อหาเป็นตัวชี้วัดในการตัดสินใจอีกที บางคนก็เชื่อว่าเป็นฑูตสวรรค์จริงๆไม่ใช่หมายถึง ผู้นำหลักของคริสตจักร แต่ไม่มีทัศนไหนบอกว่าฑูตสวรรค์ในคริสตจักรทั้งเจ็ดเป็นมนุษย์ ที่ทำหน้าที่เป็นผู้นำเท่านั้น
ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และข้อมูลเพิ่มเติมของเมืองเปอร์กามัม
(ชมภาพเมืองจำลอง)
ที่ตั้งของเมือง อยู่ขึ้นไปทางตอนเหนือของคริสตจักรเมืองเอเฟซัสและสเมอร์นาคือคริสตจักรเมืองเปอร์กามัม คริสตจักรเมืองเปอร์กามัมตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของแคว้นเอเชีย และอยู่ห่างชายฝั่งทะเลอีเจี้ยนเข้าไปราว 26 กิโลเมตร(หรือราว 15 ไมล์)
ปัจจุบันคือคือเมืองเบอร์กามา (Bergama) ในประเทศตุรกี
(สามารถชมภาพเมืองเบอร์กามา (Bergama) ในประเทศตุรกีได้ที่)
เมืองเปอร์กามัมเป็นเมืองสำคัญของโรมในแคว้นเอเชียมาตั้งแต่ 133 ปีก่อน คศ. เป็นเมืองศูนย์กลางสำคัญของการนมัสการซีซาร์ และมีวิหารที่มอบถวายให้กับโรมและออกัสตัสมาตั้งแต่ 29 ปีก่อน คศ.
ในสมัยปลายคริสต์ศตวรรษแรกหรือในยุคสมัยที่เขียนพระธรรมวิวรณ์ เมืองเปอร์การ์มัมเป็นศูนย์กลางการบริหารงานของภูมิภาคและเป็นสถานที่พักอาศัยของสมุหเทศาภิบาลของโรมซึ่งมีอำนาจชี้เป็นชี้ตายได้
แม้ว่าเปอร์กามัมจะไม่ได้เป็นเมืองศูนย์กลางการค้าที่ยิ่งใหญ่อะไรเนื่องจากอยู่ในดินแดนที่ห่างฝั่งทะเลอีเจี้ยนเข้ามา แต่เปอร์กามัมก็ถือว่าเป็นเมืองที่ร่ำรวยทางเศรษฐกิจ ทันสมัย และเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นเมืองแห่งการศึกษาและวัฒนธรรม เปอร์กามัมมีมหาวิทยาลัยที่มีห้องสมุดขนาดใหญ่ ที่ว่ากันว่าภายในบรรจุม้วนแผ่นหนังไว้มากกว่า 200,000 ม้วน
นอกจากนี้ ยังเป็นเมืองศูนย์กลางทางศาสนาที่มีวิหารบูชาเทพเจ้า 4 แห่ง คือ วิหารซีอุส ไดโอนีซุส อาเธนา และที่สำคัญคือวิหารบูชาเทพเจ้าแอสเคลปีอัส ที่มีสัญลักษณ์เป็นรูปงู ที่ว่ากันว่ามีอำนาจในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ
อย่างไรก็ตาม ลัทธิที่มีอิทธิพลมากขึ้นเรื่อย ๆ คือลัทธินมัสการจักรพรรดิ มีการบัญญัติกฎหมายที่เข้มงวดมากขึ้นด้วยโดยระบุว่าใครก็ตามที่ไม่ยอมนมัสการจักรพรรดิให้ถือว่าเป็นพวกที่ทรยศและโทษของการละเมิดกฎหมายนี้ก็คือความตาย
คนที่อาศัยอยู่ในเมืองนี้จะถูกบังคับให้ปฏิญาณตนสวามิภักดิ์ต่อซีซาร์ พวกเขาถูกบังคับให้ประกาศว่า “ซีซาร์เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า” (Κυριος Καισάρος) แต่คริสเตียนกลับปฏิเสธและประกาศก้องว่า “พระคริสต์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า” (Χριστος Κυριος) ช่วงเวลาเหล่านี้จึงเป็นเวลาที่ยากลำบากยิ่งสำหรับคริสเตียนที่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแต่องค์เดียว
วันนี้เราจึงมาเรียนรู้เรื่อง ลักษณะชีวิตคริสเตียนที่ดำเนินชีวิต
“สัมพันธ์สนิทกับคริสตจักรของพระคริสต์”
(ชุมชนของพระเจ้า:เรียนรู้จากลักษณะคริสตจักรทั้งเจ็ด วว2:1-3:22)
ตอนที่ 3 เรียนรู้จากคริสตจักร
เมืองเปอร์กามัม วว2:12-17
1.เรียนรู้จาก:ความสัมพันธ์ของพระเยซูคริสต์
กับคริสตจักร
วว2:12 ยอห์นถูกบัญชาให้เขียนว่า “พระองค์ผู้ทรงถือดาบสองคมที่คมกริบ ตรัสดังนี้ว่า” ข้อ 16 จะต่อสู้กับพวกเขาด้วยดาบในปากของเรา
เรามาดูรายละเอียดได้เห็นพระเจ้าอย่างไร?
ข้อความที่ไปถึงคริสตจักรเมืองเปอร์กามัมเปิดเผยพระคริสต์ว่า “พระองค์ผู้ทรงถือดาบสองคมที่คมกริบ”
“ดาบ” ให้ความหมายถึง สิทธิอำนาจในการพิพากษาของพระคริสต์ “ดาบสองคม” ให้ความหมายถึง การวินิจฉัยที่เฉียบคมในการแยกแยะสิ่งที่ถูกและผิด
พระเยซูจึงให้คําบรรยายอันไพเราะและเป็นเอกลักษณ์เกี่ยวกับพระองค์เองอีกครั้งสำหรับผู้เชื่อที่เมืองเปอร์กามัม พระวจนะของพระเจ้าถูกเปรียบว่าเป็นเหมือนกับดาบสองคม
ฮีบรู 4:12 เพราะว่าพระวจนะของพระเจ้านั้นมีชีวิตและทรงพลานุภาพอยู่เสมอ และคมยิ่งกว่าดาบสองคมใดๆ แทงทะลุกระทั่งแยกจิตและวิญญาณ ทั้งข้อกระดูกและไขในกระดูก และสามารถวินิจฉัยความคิดและความมุ่งหมายในใจด้วย
ยอห์นก็บรรยายถึงพระองค์แบบนี้ใน ว่าทรงมีพระแสงสองคมออกมาจากพระโอษฐ์ของพระองค์
วิวรณ์ 1:16 พระหัตถ์ขวาของพระองค์ทรงถือดวงดาวเจ็ดดวง และมีดาบสองคมที่คมกริบออกมาจากพระโอษฐ์
แม้เมืองเปอร์กามัมจะเป็นเมืองที่อาศัยของผู้ปกครองหรือสมุเทศาภิบาลของโรมที่มีอำนาจชี้เป็นชี้ตายได้ แต่ข้อความที่เปิดเผยจากยอห์นนั้นเล็งให้เห็นถึงอำนาจอธิปไตยสูงสุดของพระคริสต์ว่า พระองค์ทรงเป็นผู้พิพากษาที่ทรงอำนาจยิ่งใหญ่กว่าผู้ปกครองคนใดทั้งสิ้น
รม.13:3-4 เพราะว่าผู้ครอบครองนั้นไม่น่ากลัวเลยสำหรับคนที่ประพฤติดี แต่ว่าเป็นที่น่ากลัวสำหรับคนที่ประพฤติชั่ว ท่านไม่อยากจะกลัวผู้มีอำนาจหรือ? ถ้าอย่างนั้นก็จงทำแต่ความดี แล้วท่านก็จะได้เป็นที่พอใจของผู้มีอำนาจนั้น 4เพราะว่าผู้ครอบครองนั้น เป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าเพื่อให้ประโยชน์แก่ท่าน แต่ถ้าท่านทำความชั่วก็จงกลัวเถิด เพราะว่าผู้ครอบครองไม่ได้ถือดาบไว้เฉยๆ แต่เป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า และจะเป็นผู้ลงโทษแทนพระเจ้าแก่ทุกคนที่ประพฤติชั่ว
วว2:16 จะต่อสู้กับพวกเขาด้วยดาบในปากของเรา น่าจะหมายถึง พระเจ้าจะใช้พระวจนะในการจัดการพวกสอนผิด ด้วยสิทธิอำนาจของพระองค์
การนำไปประยุกต์ใช้ พระเยซูคริสต์มีสิทธิอำนาจเหนือคริสตจักร พระองค์พิพากษาคริสตจักรได้ พระองค์ใช้พระวจนะของพระองค์ในการพิพากษา ดังนั้นผู้เชื่ออย่ากลัวผู้ที่มีสิทธิอำนาจ ที่ใช้สิทธิอำนาจผิดๆต่อคริสตจักร
ไม่ว่าผู้มีอำนาจนั้นจะเป็นผู้ปกครองบ้านเมือง หรือเป็นผู้นำในคริสตจักร หรือเป็นพวกสอนผิด แต่ให้รู้จักความจริงของพระเจ้าผ่านพระวจนะของ พระเจ้าที่เป็นสิทธิอำนาจของพระเจ้า แล้วยึดมั่นใจพระเจ้า ไม่ปฎิเสธความเชื่อในพระเยซูคริสต์
คริสตจักรและผู้เชื่อควรให้ความสำคัญของคำสอน อย่าเบื่อหน่ายในการศึกษาพระวจนะ หรือเฝ้าเดี่ยว หรืออ่านพระคัมภีร์ เราจะไม่สามารถแยกแยะคำสอนเท็จได้หากเราไม่รู้ความจริงของพระวจนะ
ให้ระมัดระวังคำสอนเท็จ คำสอนผิด ด้วยการศึกษาพระคัมภีร์ ด้วยการตรวจสอบคำสอน ด้วยการสอบถามจากผู้ที่ศึกษาพระคัมภีร์ และดำเนินชีวิตตาม พระวจนะที่เขาได้สั่งสอน
2.เรียนรู้จาก: การรับรู้ของพระเยซูคริสต์
ต่อคริสตจักร
ข้อ 13.เรารู้จักที่อยู่ของเจ้า ที่ซึ่งเป็นบัลลังก์ของซาตาน (เปอร์กามัมที่ซึ่งเป็นบัลลังก์ของซาตาน,ที่ซึ่งซาตานอยู่ )
“คําว่า ที่นั่ง” 2362. thronos (n) อ่านว่า (thron’-os) มักถูกแปลเป็น ‘บัลลังก์’ คํานี้จึงอาจมีความหมายเชิงอุปมามากกว่า เป็นการสื่อถึงอิทธิพลของซาตานในศาสนาเทียมเท็จ
เป็นที่รู้กันในสมัยนั้นว่าตําแหน่งผู้นําของ ศาสนาลี้ลับของชาวบาบิโลนเดิม ซึ่งเป็นบ่อเกิดอันโสมมของศาสนาเทียมเท็จทั้งปวง ได้ย้ายถิ่นฐานไปอยู่ที่เมืองเปอร์กามัมเพราะเหตุผลทางการเมืองของปลอมที่สร้างขึ้นโดยซาตานนี้ ส่งผลทําให้เมืองเปอร์กามัมกลายเป็นศูนย์บัญชาการใหญ่ของมัน (เป็นเหมือนที่ตั้งของคณะรัฐบาลบริหารแผ่นดิน)และซาตานแผ่ขยายอิทธิพลอันดํามืดของมันไปทั่วชุมชนนั้นด้วย (จะย้ายถิ่นฐานไปยังกรุงโรมต่อไป)
พระเยซูบอกว่าผู้ครองโลกคือ มาร จึงเตือนอย่าให้รักโลก
ยน14:30 เราจะไม่สนทนากับพวกท่านนานอย่างนี้อีก เพราะว่าผู้ครองโลกกำลังจะมา ผู้นั้นไม่มีสิทธิอำนาจอะไรเหนือเรา
1ยน 2:15-16 อย่ารักโลกหรือสิ่งของในโลก ถ้าใครรักโลก ความรักของพระบิดาไม่ได้อยู่ในผู้นั้น 16 เพราะว่าทุกสิ่งที่อยู่ในโลก คือตัณหาของเนื้อหนังและตัณหาของตา และความทะนงในลาภยศไม่ได้มาจากพระบิดา แต่มาจากโลก
ความจริงที่ยิ่งใหญ่กว่า คือว่าคริสตจักรที่เมืองเปอร์กามัม ตั้งอยู่ในเงามืดของศาสนาเทียมเท็จของซาตาน เป็นเมืองแห่งความ มืดฝ่ายวิญญาณ
คริสตจักรและผู้เชื่อควรให้ความสำคัญของการดำเนินชีวิตอย่ารักโลก อย่ารักสิ่งของวัตถุ ความสำเร็จ ชื่อเสียง เกียรติยศ เงินทอง หรือรักความสนุกสนานในโลก มากกว่ารักพระเจ้า
หมายเหตุ: สามารถชมภาพแหล่งท่องเที่ยวของเมืองในปัจจุบันได้
3.เรียนรู้จาก:ทัศนคติของพระเยซูคริสต์
ต่อคริสตจักร (13-16)
13“เรารู้จักที่อยู่ของเจ้า ที่ซึ่งเป็นบัลลังก์ของซาตาน ถึงกระนั้นเจ้าก็ยึดมั่นในนามของเรา และไม่ปฏิเสธความเชื่อในเรา แม้ในเวลาที่อันทีพาสพยานผู้ซื่อสัตย์ของเราต้องถูกฆ่าท่ามกลางพวกเจ้า ในที่ซึ่งซาตานอยู่นั้น
3.1 คำชมเชย (13)
พระคริสต์ทรงชมเชยคริสตจักรเมืองเปอร์กามัมถึง “ความซื่อสัตย์” ที่พวกเขาต้องเผชิญกับความกดดันให้ปฏิเสธความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ดังที่กล่าวไปแล้วว่า คริสตจักรเมืองเปอร์กามัมอยู่ในที่ ๆ เป็นศูนย์กลางของลัทธิการนมัสการจักรพรรดิและโทษของการไม่ยอมปฏิญาณตนว่าซีซาร์คือองค์พระผู้เป็นเจ้าคือต้องตาย พระคัมภีร์ตอนนี้จึงกล่าวถึงคริสตจักรเปอร์กามัมว่าพวกเขาอยู่ใน “ที่ซึ่งเป็นบัลลังก์ของซาตาน” แต่พวกเขายังตอบสนองต่อการถูกบีบคั้นด้วย
(1) ยึดมั่นในนามของพระองค์ และ
(2) ไม่ปฏิเสธความเชื่อในพระองค์
ข้อความตอนนี้กล่าวถึง “อันที่พาสพยานผู้ซื่อสัตย์” ต้องถูกฆ่าเพราะไม่ยอมปฏิเสธความเชื่อที่มีในพระเยซูคริสต์ คำว่า “พยาน” มาจากคำกรีกว่า “μάρτυς” และคำภาษาอังกฤษว่า มาเทอร์ “martyr” ที่แปลว่าพลีชีพ ภายหลังถูกใช้เพื่ออ้างถึงผู้ที่พลีชีพเพื่อเป็นพยานถึงพระเยซู คำว่า “พยาน” นี้ใช้อีกครั้งในพระธรรมวิวรณ์ 17:6 กล่าวถึงบรรดาคนที่พลีชีพเพื่อเป็นพยานของพระเยซูด้วยเช่นเดียวกัน
ข้อ13 อันทีพาส เป็นผู้ถูกฆ่าตายเพราะความเชื่อ เป็นภาพของความเข้มแข็งในความเชื่อคือ ยอมตายเพื่อความเชื่อ(ทรมานน้อยกว่าอดตาย) เป็นไม้แข็งที่มารใช้กำจัดผู้เชื่อ เมื่อฆ่าคริสเตียน หรือข่มเหงคริสเตียนมากขึ้น แต่พวกคริสเตียนนี้กับไม่ปฎิเสธความเชื่อในพระเยซูคริสต์
มารก็หาวิธีใหม่ในการล่อลวงผู้เชื่อ คือ การใช้ไม้อ่อน ล่อลวงให้คริสเตียนยอมประนีประนอมกับผลประโยชน์ ล่อลวงให้ประนีประนอมกับโลก แต่ไม่ว่าจะใช้ไม้อ่อนหรือไม้แข็งในการล่อลวง ขอให้เรา
(1) ยึดมั่นในนามของพระองค์ และ
(2) ไม่ปฏิเสธความเชื่อในพระองค์
พระเยซูจึงต้องบอกยอห์นให้เตือนพวกที่สอนผู้เชื่อ และเตือนผู้ฟังในเวลานั้นอย่าประนีประนอมกับโลก หรือรับค่านิยมของโลก มากกว่าค่านิยมของพระเจ้า พระองค์เตือนผ่านการต่อว่าคำสอนแบบบาลาอัม และนิโคเลาส์
และคำว่า “พยานผู้ซื่อสัตย์” เป็นคำเดียวกันที่กล่าวถึง “พระเยซูคริสต์พยานผู้ซื่อสัตย์” ใน วว.1:5 ที่ทรงซื่อสัตย์จนยอมสิ้นพระชนม์เช่นเดียวกัน
3.2 คำติเตียน (14-15)
14แต่เรามีข้อที่จะต่อว่าเจ้าสองสามข้อ คือเจ้ามีบางคนที่ยึดถือคำสอนของบาลาอัมอยู่ที่นั่น ผู้ซึ่งสอนบาลาคให้วางสิ่งสะดุดต่อหน้าพวกอิสราเอล คือให้พวกเขากินอาหารที่บูชารูปเคารพและล่วงประเวณี 15เช่นเดียวกันเจ้าก็มีคนที่ยึดถือคำสอนของพวกนิโคเลาส์ด้วย
คำติเตียน ไม่ใช่ว่าคริสเตียนในคริสตจักรเมืองเปอร์กามัมจะมีความจงรักภักดีด้วยกันทุกคน มีคำติเตียนคือ มีบางคนในคริสตจักรยึดถือคำสอนเท็จ โดยพูดถึงลักษณะคำสอนเท็จ 2 แบบ คือ
(3.2.1) คำสอนของบาลาอัม
คือให้พวกเขากินอาหารที่บูชารูปเคารพและล่วงประเวณี (2:14)
บาลาอัมเป็นต้นแบบของคนที่สนับสนุนให้เกิดการประนีประนอมกับคนนอกศาสนาโดยมีส่วนร่วมกับรูปเคารพและกระทำผิดศีลธรรม เป็นไปได้ว่ามีคริสเตียนบางคนในคริสตจักรเมืองเปอร์กามัมกำลังทำแบบเดียวกับที่บาลาอัมทำต่ออิสราเอล โดยแนะนำว่าการนมัสการจักรพรรดิเป็นหนทางที่ปลอดภัย หรือสอนว่าพวกเขายังดำเนินชีวิตที่ไร้ศีลธรรมได้ โดยบอกว่าการทำสิ่งเหล่านี้เป็นหนทางไปสู่การเป็นมิตรกับพวกโรมันและรอดพ้นจากการถูกกดขี่ข่มเหงจากพวกโรมัน
ส่วนปัญหาเรื่องการกินอาหารที่บูชารูปเคารพ ไม่ได้หมายถึง ความบังเอิญที่คริสเตียนไปกินสิ่งที่เขาเอาไปบูชาที่วิหารของคนนอกศาสนาแล้วเอามาเลี้ยง แต่เป็นการเจตนากินสิ่งที่เขานำไปประกอบพิธีกรรมทางศาสนาในวิหารของคนนอกศาสนาซึ่งเท่ากับเป็นการมีส่วนร่วมกับการถือรูปเคารพและการทำผิดประเวณี แม้ในพระคัมภีร์เดิมกล่าวถึงการนมัสการรูปเคารพไว้หลายครั้งว่าเป็นการเล่นชู้หรือการแพศยาต่อพระเจ้า (อสค.16:31-33)
แต่ในที่นี้มีความเป็นไปได้จริง ๆ ว่าพวกที่นมัสการในวิหารรูปเคารพจะมีพิธีกรรมบูชารูปเคารพและมีงานเลี้ยงที่มีการทำผิดศีลธรรมทางเพศควบคู่ไปด้วยกันจริง ๆ เพราะสำหรับชาวกรีกและชาวโรมันนั้นเห็นว่าการปล่อยปละละเลยเรื่องเพศนั้นไม่ได้ถือเป็นบาปอะไรนักหนาสำหรับพวกเขา
ให้ระวังเรื่องผลประโยชน์ในคริสตจักรที่อาจจะได้มาจากสิ่งที่ผิดไปจากหลักการของพระเจ้า เปรียบเทียบเหมือนอาหารที่ไหว้ บูชารูปเคารพ
ให้ระวังเรื่องเพศ ในด้านต่างๆที่ไม่เหมาะสมในคริสตจักร ส่งผลต่อการประนีประนอมในการนมัสการพระเจ้า หรือการใช้เรื่องเพศเพื่อผลประโยชน์อย่างไม่สมควร เช่น การแสดงเต้นยั่วยวน การแต่งกายไม่เหมาะสม การสนับสนุนเรื่องเพศที่ผิดไปจากพระคัมภีร์
(3.2.2) คำสอนของพวกนิโคเลาส์
มีการกล่าวถึง “พวกนิโคเลาส์” ก่อนหน้านี้ในจดหมายถึงคริสตจักรเมือง
เอเฟซัสใน อฟ1:6 ว่าพระเยซูทรงเกลียดชังความประพฤติของพวกเขา ลักษณะคำสอนของพวกเขาคือสอนให้ใช้เสรีภาพในพระคุณพระเจ้าในทางที่ผิดและให้ประนีประนอมกับการทำตามเนื้อหนัง มี 2 ทฤษฎีที่พยายามอธิบายเรื่องนี้คือ
(ก) นิโคเลาส์คนนี้คือคนเดียวกับนิโคเลาส์ชาวเมืองอันทิโอกผู้เข้าจารีตศาสนายิวที่เคยได้รับการแต่งตั้งเป็นคณะมัคนายก 7 คนที่ได้รับมอบหมายหน้าที่ให้แจกจ่ายอาหาร (กจ.6:5 – เนื่องจากมีคนยิวที่พูดกรีกร้องเรียนไปว่าไม่ได้รับแจกจ่ายอาหารอย่างเพียงพอ และนิโคเลาส์คนนี้เป็นชาวต่างชาติที่มาเข้าจารีตยิวและพูดกรีก) เขามีพื้นเพเป็นคนต่างชาติที่กลับใจมาเข้าศาสนายิวและเป็นคริสเตียน เขาอาจตั้งลัทธินอกรีตขึ้นมาจากรากฐานเดิมที่มีอยู่แล้ว แต่ข้อสันนิษฐานนี้ก็ไม่มีหลักฐานยืนยันที่หนักแน่นนัก
(ข) เป็นไปได้ว่าพวกนิโคเลาส์คือกลุ่มลัทธินอกรีตที่เข้ามาในคริสตจักรแล้วก็ไปในช่วงแรกของการตั้งคริสตจักร อย่างไรก็ตามในจดหมายถึงคริสตจักรทั้งเจ็ดมีการกล่าวถึงพวกสอนผิดแบบเดียวกันนี้ 3 ครั้ง (ที่สอนให้ล่วงประเวณีและกินอาหารที่บูชารูปเคารพ)
ในคำเตือนไปถึงคริสตจักรเมืองเอเฟซัส (2:6) คำเตือนถึงคริสตจักรเมืองเปอร์กามัม (2:14-16) และคำเตือนถึงคริสตจักรเมืองธิยาธิราเรื่องที่ทนฟังเยเซเบลผู้หญิงที่อ้างตัวเป็นผู้เผยวจนะ (2:20)
มีความเป็นไปได้อย่างมากที่คนสอนผิดเหล่านี้เป็นคนกลุ่มเดียวกันและอยู่ภายในคริสตจักรเอง ไม่ใช่คนภายนอกคริสตจักร พวกเขาอ้างเสรีภาพในทางที่ผิดและสนับสนุนให้คริสเตียนประนีประนอมกับการทำบาป
3.3 คำตักเตือน (16)
16เพราะฉะนั้นจงกลับใจใหม่ มิฉะนั้นเราจะมาหาเจ้าโดยเร็ว และจะต่อสู้กับพวกเขาด้วยดาบในปากของเรา
พระเยซูคริสต์เตือนว่า “จงกลับใจใหม่ มิฉะนั้นเราจะมาหาเจ้าโดยเร็ว และจะต่อสู้กับพวกเขาด้วยดาบในปากของเรา” พระองค์จะมาหาพวกเขาโดยเร็ว อาจจะไม่ได้หมายถึงการเสด็จมาครั้งที่สอง แต่น่าจะหมายถึง การพิพากษาที่พระองค์จะนำมาต่อสู้พวกเขาในไม่ช้าหากพวกเขายังไม่กลับใจ โดยจะทรงใช้ดาบในปากของพระองค์ซึ่งก็คือการทรงพิพากษาโทษพวกเขาตามมาตรฐานแห่งความชอบธรรมของพระวจนะของพระองค์นั่นเอง
เราอยากให้พระเยซูคริสต์ ชมเชย หรือติเตียน ต้องตัดสินใจวันนี้
หากเราถูกตักเตือนให้กลับใจใหม่ เพราะวันที่ถูกพิพากษาเราจะแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ววันนี้ยังมีโอกาสแก้ไขความผิดพลาดได้
4.เรียนรู้จาก:พระสัญญาของพระเยซูคริสต์
ต่อคริสตจักร
วว2:17“ใครมีหูก็ให้ฟังข้อความที่พระวิญญาณตรัสกับคริสตจักรทั้งหลาย เราจะให้มานาที่ซ่อนอยู่แก่คนที่ชนะ และจะให้หินขาวแก่เขาด้วย และบนหินนั้นจะมีชื่อใหม่จารึกไว้ซึ่งไม่มีใครรู้เลยนอกจากผู้ที่ได้รับ”
พระองค์สัญญาว่าคนที่ชนะ พระองค์จะประทาน “มานาที่ซ่อนอยู่” และ
“หินขาว” ที่บนหินนั้นจะมีชื่อใหม่ จารึกไว้ซึ่งไม่มีใครรู้เลยนอกจากผู้ที่ได้รับ
มานา คือ อาหารที่พระเจ้าทรงประทานให้เพื่อเลี้ยงดูอิสราเอลในถิ่นทุรกันดาร 40 ปี ในธรรมเนียมเรื่องเล่าของชาวยิวมีการบันทึกถึงมานา
ไหหนึ่งที่ถูกเก็บรักษาไว้ในหีบพันธสัญญา (อพย.16:33-35; ฮบ.9:4)
ก่อนที่พระวิหารจะถูกทำลาย เยเรมีย์หรือทูตสวรรค์ได้ทำการซ่อนหีบ
พันธสัญญาเอาไว้ และหีบนี้ถูกเก็บรักษาไว้จนถึงยุคของพระเมสสิยาห์ เมื่อถึงยุคที่ว่านี้ มานาจะถูกนำมาเป็นอาหารสำหรับประชากรของพระเจ้าอีกครั้งหนึ่ง
ยอห์นอาจจะใช้ “มานาที่ซ่อนอยู่” เป็นคำเปรียบเปรย หมายถึง อาหารสำหรับประชากรของพระเจ้าอีกครั้งหนึ่งในการเข้าร่วมงานเลี้ยงของพระเมษโปดก
หินขาว เป็นผลผลิตทางการค้าในโลกโบราณที่ขุดได้ในเมืองเปอร์กามัม มีการนำมาใช้หลายรูปแบบ เช่น
1.ใช้ในศาลไต่สวนเพื่อนำมามอบให้คนที่ถูกไถ่สวนอย่างยุติธรรมและ ระบุว่าคนนั้นพ้นข้อกล่าวหาแล้ว
2.ใช้มอบให้กับคนที่ได้รับอิสรภาพจากการเป็นทาส
3.ใช้มอบให้แก่ผู้ชนะการแข่งขัน
4.ใช้มอบให้แก่นักรบที่ได้รับชัยชนะ
ความหมายของ หินขาวในตอนนี้จึงน่าจะเป็นสัญลักษณ์ที่หมายถึง ชัยชนะในบั้นปลายที่ผู้นั้นได้รับสิทธิ์ในการเข้าสู่สวรรค์ และ “คำจารึกชื่อใหม่”
ในหินนั้นน่าจะหมายถึงว่า คนนั้นเป็นที่รู้จักและเป็นที่ยอมรับของพระเจ้า
กล่าวโดยสรุป เรื่องสัญลักษณ์และความหมายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องจาก คริสตจักรที่เมืองเปอร์กามัมใน วว2:12-17
1.บัลลังก์ของซาตาน – ที่แห่งการปฏิเสธพระเจ้า และนมัสการมนุษย์หรือสิ่งที่ไม่ใช่พระเจ้า
2.ดาบสองคมที่คมกริบ – สิทธิอำนาจในการพิพากษาของพระเจ้า
3.คำสอนของบาลาอัม – คำสอนที่วางสิ่งสะดุดเพื่อล่อลวงให้อิสราเอลทำบาปเรื่องล่วงประเวณีและนับถือรูปเคารพ
4.พวกนิโคเลาส์ – พวกที่สอนให้ใช้เสรีภาพในทางที่ผิดและให้ประนีประนอมกับการทำตามเนื้อหนัง
5.มานาที่ซ่อนอยู่ – อาหารสวรรค์เตรียมไว้สำหรับผู้ได้เข้าร่วมงานเลี้ยงของพระเมษโปดก
6.หินขาว – สัญลักษณ์ของชัยชนะและการเป็นที่ยอมรับของพระเจ้า
การนำสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปประยุกต์ใช้สำหรับการดำเนินชีวิต
คริสตจักรเมืองเปอร์กามัมอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ร่ำรวย ทันสมัย เป็นศูนย์กลางการศึกษาและศาสนา มีวิหารรูปเคารพมากมาย และอยู่ในที่แห่งการบีบคั้นความเชื่ออย่างรุนแรงให้พวกเขาปฏิเสธพระเจ้าและถูกบังคับให้นมัสการผู้ปกครอง(หรือซีซาร์)เป็นพระเจ้า บรรยากาศต่าง ๆ เหล่านี้ไม่เอื้อต่อการดำเนินชีวิตคริสเตียนมากนัก
แต่ “อันทีพาส” เป็นคนที่เป็นแบบอย่างแก่เราที่ยอมพลีชีพด้วยความเชื่อไม่ยอมปฏิเสธพระเจ้า เขาเป็นบุคคลที่พระเยซูคริสต์ชมเชยว่าเป็น “พยานที่ซื่อสัตย์” ซึ่งเราควรจะยืนหยัดในความเชื่อไว้ตามแบบอย่างของเขาแม้จะต้องสูญเสียสิ่งใด ๆ หรือแม้กระทั่งยอมพลีชีพก็ตาม
ในขณะเดียวกัน มีบางคนในคริสตจักรที่ประนีประนอมกับการทำผิดศีลธรรมหันไปเชื่อฟังคำสอนเท็จแบบเดียวกับที่บาลาอัมที่ล่อลวงให้อิสราเอลทำบาป โดยชักชวนให้คนเหล่านั้นเข้าร่วมงานเลี้ยงในวิหารของรูปเคารพและทำบาปล่วงประเวณีตามแบบอย่างของคนไม่เชื่อ นอกจากนี้ยังมีบางคนก็หันไปเชื่อฟังคำสอนเท็จที่บอกว่าเราประนีประนอมกับบาปและทำผิดศีลธรรมได้ได้โดยอ้างเสรีภาพในพระเยซูคริสต์แบบผิด ๆ
ในท่ามกลางสภาพสังคมและเศรษฐกิจปัจจุบัน คริสตจักรกำลังเผชิญหน้ากับการท้าทายความเชื่อแบบใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นระบบเศรษฐกิจแข่งขันแบบทุนนิยมเสรี การใช้เงินทุนเป็นหลักเพื่อขับเคลื่อนสิ่งต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งการให้คุณค่าทางสังคมที่เปลี่ยนไปจากมุมมองของพระเจ้า
การให้คุณค่าความเป็นมนุษย์และความสัมพันธ์ระหว่างกันถูกขับเคลื่อนด้วยผลประโยชน์ สังคมโลกยุคใหม่กำลังหยิบยื่นความสะดวกสบาย รวดเร็วทันใจ นำเสนอบริการที่ตอบสนองและเข้าถึงความต้องการของคนให้มากที่สุดให้กับเรา สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ไม่ได้มีศูนย์กลางอยู่ที่การนมัสการพระเจ้า แต่มีศูนย์กลางอยู่ที่ความพึงพอใจของมนุษย์
เราเองอาจต้องกลับมาฉุกคิดว่า “บัลลังก์ของซาตาน” ในยุคของเราอยู่ที่ไหน อาจเป็นความพึงพอใจในการตอบสนองความต้องการของตัวเราเองที่ไม่ได้นมัสการพระเจ้าอย่างแท้จริงหรือไม่ อาจเป็นการเชิญชวนให้เราประนีประนอมกับบาปและทำผิดศีลธรรมตามอย่างคนในโลกที่ไม่มีพระเจ้าหรือไม่ โลกนี้ให้คุณค่ากับผลประโยชน์ตอบแทน ความสุขและความพึงพอใจของตนเองมากกว่าสิ่งใด ๆ โดยบอกว่า ไม่เป็นไร เรามีเสรีภาพ ถ้าไม่ทำให้ใครเดือดร้อน เราก็ทำได้
แต่แท้ที่จริงแล้ว พระเจ้าเกลียดชังความประพฤติผิดศีลธรรม และการประนีประนอมกับบาป (วว2:6) คนที่ประพฤติเช่นนั้นจะไม่มีส่วนในแผ่นดินของพระเจ้า
1คร.6:9-10 ท่านทั้งหลายรู้แล้วไม่ใช่หรือว่าคนไม่ชอบธรรมจะไม่มีส่วนในแผ่นดินของพระเจ้า? อย่าหลงผิดเลย พวกที่ล่วงประเวณี พวกไหว้รูปเคารพ พวกผิดผัวผิดเมีย พวกโสเภณีชาย พวกรักร่วมเพศ 10พวกขโมย พวกที่โลภ พวกขี้เมา พวกชอบกล่าวร้าย พวกฉ้อโกง จะไม่มีส่วนในแผ่นดินของพระเจ้า
คริสเตียนจำเป็นต้องดำเนินชีวิตที่ชอบธรรมมีมาตรฐานความถูกต้องที่แตกต่างกับคนในโลก จำเป็นต้องสวนทางกับความบาป จะประนีประนอมกับบาปตามอย่างคนในโลกที่ไม่รู้จักพระเจ้าไม่ได้
เราควรรู้จักวินิจฉัยและแยกแยะว่าสิ่งใดเป็นความบาปและสิ่งใดเป็นความชอบธรรมโดยเผชิญหน้ากับพระวจนะของพระเจ้าเช่นเดียวกับพระเยซูคริสต์ที่ถือดาบสองคม ตั้งใจฟังคำเตือนของพระเจ้าที่มาถึงเรา สำรวจตัวเองและกลับใจจากการประพฤติใด ๆ ที่เป็นการประนีประนอมกับบาป
ขอพระเจ้าอวยพรท่าน ให้เราร่วมใจกันอธิษฐาน
สนใจติดต่อเรา
www.facebook.com/FORWARD.CH.TH
Email: actsministry2017@gmail.com
อ้างอิง:
1https://biblehub.com/greek/32.htm
2 จอห์น เอฟ วาลวูร์ด. แปลโดย ธนาภรณ์ ธรรมสุจริตกุล. วิวรณ์. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ: ศูนย์ทีรันนัส (สำนักพิมพ์ จีพี), 2001.
3 https://biblehub.com/greek/2362.htm
4http://www.thaipope.org/greene/Greene%20-%20Revelation.pdf
5 เจ. เกลน มอริส. แปลโดย ดารณี ประดับชนานุรัตน์. คู่มือศึกษาพระคัมภีร์ใหม่ วิวรณ์. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ: โรงเรียนคริสตศาสนศาสตร์แบ๊บติสต์, 2019.
6 Fausset’s Bible Dictionary, โปรแกรม The Word.
7 พระคริสต์ธรรมคัมภีร์อมตธรรมร่วมสมัย ฉบับค้นคว้า. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: องค์การอมตธรรม, 2011.