ภาพจาก http://freshleyblog.org/blog/2017/10/6/the-pursuit-of-peace-philippians-46-7

.ประยูร ลิมะหุตะเศรณี           

 เทศนา อาทิตย์ที่ 28 ..2018                 

คริสตจักรที่สองสามย่าน

ฟป3:12 “ไม่ใช่ว่าข้าพเจ้าได้รับแล้ว หรือดีพร้อมแล้ว แต่ข้าพเจ้ากำลังบากบั่นมุ่งไปเพื่อที่จะฉวยไว้เพราะพระเยซูคริสต์ทรงฉวยข้าพเจ้าไว้

คำนำ

เช้าวันนี้มีกี่คนที่มีความหิวกระหายการนมัสการพระเจ้าเหมือนเพลงนมัสการที่ว่ากวางกระหายหาน้ำ เพราะเราไม่ใช่กวางจึงไม่สามารถจะจินตนาการหรือเข้าใจได้ แต่ถ้าให้เปรียบเทียบการกระหายที่เราพอมีประสบการณ์อธิบายได้ ก็เหมือนการที่เราถูกกดลงไปในน้ำ เราต้องการหายใจ เราต้องพยายามทุกวิถีทางเพื่อจะหายใจให้ได้ การกระหายหาพระเจ้าก็ควรเป็นแบบนั้น คือ เหมือนที่เราต้องการลมหายใจจริงๆ

สังคมทุกวันนี้พาเราเข้าไปสู่การให้ความสำคัญกับการสร้างความมั่นคงของชีวิต แทนที่จะเป็นพระเยซูคริสต์เจ้า เมื่อเรามีชีวิตใหม่ในพระคริสต์แล้ว เราก็ควรต้องการความมั่นคงที่เกิดจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ เกิดจากพระวจนะ ฐานความมั่นคงของผู้เชื่อ จึงแตกต่างจากก่อนที่เราจะพบพระคริสต์ สังคมมีอิทธิพลอย่างสูงต่อผู้เชื่อ แม้เราจะกลับใจใหม่แล้ว เราคงจะลืมไปว่าความมั่นคงในชีวิตของเราแท้จริง คือ พระเยซูคริสต์ 

วันนี้อยากจะพาให้เราเข้าใจเรื่องชีวิตคริสเตียนที่ไม่สอดคล้องกับ ฟป3:12 ตอนนี้  คริสเตียนได้ชื่อว่าได้รับความรอดแล้วโดยพระคุณเพราะความเชื่อ จากอฟ2:8 “เพราะว่าท่านทั้งหลายได้รับความรอดแล้วด้วยพระคุณโดยทางความเชื่อ ความรอดนี้ไม่ใช่มาจากตัวท่าน แต่เป็นของประทานจากพระเจ้า

แต่คริสเตียนบางคนมีความเชื่อว่าได้รับความรอดแล้วแค่รักษาชีวิต ให้ไม่หลงหายก็เพียงพอแล้ว เช่น มาร่วมนมัสการสม่ำเสมอ ร่วมอธิษฐาน มีชีวิตเฝ้าเดี่ยว ถวายสิบลดสัตย์ซื่อ ถวายทรัพย์ พวกเขาคิดว่าเท่านี้ก็เพียงพอแล้วจะรักษาชีวิตไม่ให้หลงหาย

แต่พระธรรมฟป3:12 บอกว่า ไม่ได้สำเร็จแล้วหรือพอแล้ว .เปาโลได้กลับใจเชื่อพระเจ้าประมาณ ..35 เขียนฟป.ประมาณ ..61 ขนาดอ.เปาโลรู้จักพระเจ้า มาหลายปี ท่านก็ยังไม่พอ หรือคิดว่าท่านได้พระเจ้าแล้ว หรือพบความสำเร็จแล้ว

ความจริงของการเป็นคริสเตียน คือไม่ใช่ว่าได้รับความรอดก็พอแล้ว ความคิดที่บอกว่าพอแล้วเป็นความคิดแบบเด็ก ข้อ15 “เพราะฉะนั้น เราที่เป็นผู้ใหญ่แล้วจงคิดอย่างนี้ และถ้าพวกท่านคิดอีกอย่างหนึ่ง พระเจ้าก็จะทรงให้เรื่องนี้ประจักษ์แก่ท่านด้วย

พระธรรมข้อนี้บอกว่าเป็นความคิดแบบผู้ใหญ่จึงคิดอย่างนั้น คือเด็กจะคิดว่าได้รับความรอดก็พอแล้ว คิดแบบนี้ก็เป็นแบบเด็ก แต่เช้าวันนี้ให้เราเข้าใจ บากบั่น บุกเบิก สรรค์สร้าง ยังคงเป็นหน้าที่ของคริสเตียนที่เป็นผู้ใหญ่ต้องทำต่อไป

แท้ที่จริงชีวิตคริสเตียน คือ การดำเนินชีวิตใหม่จากพระเยซูตลอดชีวิตความเป็นเป็นผู้ใหญ่

“บากบั่น แสดงว่ามีเรื่องที่ให้เราต้องทำอีกเยอะ”

ทำให้เราต้องรับผิดชอบอีกเยอะ หากกิจกรรมคริสเตียนที่เราทำอยู่เป็นเรื่องสบายๆ แสดงว่าเราไม่ต้องบากบั่นอะไรเลย

หัวข้อคำเทศน์วันนี้ คือ บากบั่น บุกเบิก และสรรค์สร้าง

1.บากบั่น

(เพื่อฉวยพระเยซูคริสต์มาเป็นของเราเหมือนที่พระองค์ฉวยเราเป็นของพระองค์ ) เปาโลกำลังพูดเรื่องบากบั่นอะไร ตอบบากบั่นอย่างที่พระเยซูคริสต์ฉวยเปาโลเป็นของพระองค์ เพื่อข้าพเจ้าเปาโลจะได้ฉวยพระองค์

ข้อ7-8 “แต่ว่าอะไรที่เคยเป็นกำไรของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้ถือว่าสิ่งนั้นเป็นการขาดทุนแล้วเพราะเหตุพระคริสต์ 8ยิ่งกว่านั้นข้าพเจ้าถือว่าทุกสิ่งเป็นการขาดทุน เพราะเหตุคุณค่าอันสูงยิ่งของการได้รู้จักพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า เพราะเหตุพระองค์ข้าพเจ้ายอมขาดทุนทุกอย่าง และถือว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเหมือนเศษขยะเพื่อว่าข้าพเจ้าจะได้พระคริสต์เป็นกำไร

เปาโลบอกว่าสิ่งใดที่เคยเป็นประโยชน์กับท่านในอดีต บัดนี้ท่านเห็นว่าไร้ค่า เพื่อเห็นแก่พระคริสต์ เพื่อจะได้พระคริสต์ เพื่อการรู้จักพระคริสต์มากขึ้น เพื่อการได้พระคริสต์มากขึ้น

ทั้งหมดนี้ เป็นเป้าหมายเดียวกันของอ.เปาโล ท่านเริ่มจาก รู้จักพระคริสต์ ได้พระคริสต์ ท่านเคยได้ยินคำสอนแบบนี้ไหมว่า เมื่อเรามากลับใจใหม่เชื่อพระเยซู ให้สนใจพระคริสต์ ไม่ใช่พระพรของพระเยซู  เวลาเฝ้าเดี่ยวมีการสอนเรื่องแบบนี้ไหม คริสตจักรมีคำสอนแบบนี้ไหม

ที่น่าสนใจอ.เปาโล ข้อ 7-8 สิ่งใดที่เคยเป็นคุณประโยชน์ ถือว่าไร้ประโยชน์เพื่อเห็นแก่พระคริสต์ ส่ิงสารพัดไร้ประโยชน์ เพราะเห็นแก่ความประเสริฐถึงความรู้ของพระเยซูคริสต์ เปาโลจึงละทิ้งทุกส่ิงที่เคยเป็นประโยชน์ที่ตนมี หรือตนเป็นก่อนเชื่อพระเยซู ก่อนที่จะได้รู้จักพระคริสต์

ยอมสละส่ิงสารพัด หมายถึง สละอุปสรรคที่ขัดขวางให้ไม่ได้พระเจ้า

คำว่าหยากเยื่อ

เปาโลเปรียบเทียบเหมือนขยะ 

จิตวิญญาณเราเคยกระหายหาพระเจ้าแบบนี้ไหม ที่จะยอมทิ้งทุกอย่างที่เราต้องการเพื่อดับกระหายความต้องการพระเจ้า  วันนี้อะไรที่เป็นอุปสรรคในชีวิตที่ทำให้เราไม่ได้พระคริสต์ ขอให้เราทิ้งให้หมด

เปาโลบากบั่นรู้จักพระเจ้า ไม่ใช่แค่การรับใช้  เราต้องสร้างบทเรียนให้กลับมาคิดถึงเรื่องนี้ ผู้เชื่อใหม่ต้องรู้จักพระคริสต์ผู้ทำให้เขารอด พระองค์เป็นใคร ผู้เชื่อต้องมีคำตอบ

การรู้เรื่องพระเจ้า

ไม่ได้หมายความว่ารู้จักพระเจ้า

แต่การรู้จักพระเจ้าทำให้รู้เรื่องของพระเจ้า

ดนล11:32 เขาจะใช้เล่ห์กลล่อลวงผู้ละเมิดพันธสัญญา แต่บรรดาประชาชนที่ซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าของตนจะยืนหยัดต่อสู้

ช่วงเวลาของดาเนียลนั้นมีคำเตือนจากคนของพระเจ้า เพราะมีการล่อลวงด้วยคำสอนเกิดขึ้น บางคนจำได้แค่คำสอนเรื่องพระเจ้า แต่ไม่รู้จักพระเจ้า คริสเตียน จะยืนหยัดผ่านการทดสอบทดลอง ปัญหาสถานการณ์ต่างๆได้ เพราะคริสเตียนได้รู้จักพระเจ้าของเขา ในยุคสุดท้ายจะมีคำสอนเทียมเท็จมากมาย

“ถ้าเรามีความสนใจแค่พิสูจน์คำสอนว่าอะไรถูก อะไรผิด สิ่งนี้จะทำให้เราออกจากทางพระเจ้า แต่ในทางตรงกันข้ามถ้าเรารู้จักพระเจ้าเราจะมั่นคงในพระเจ้าจนวันสุดท้าย”

คริสเตียนควรต้องมีความสัมพันธ์สนิทกับพระเยซู ยน15:4 “จงติดสนิทอยู่กับเราและเราติดสนิทอยู่กับพวกท่าน แขนงจะออกผลเองไม่ได้นอกจากจะติดสนิทอยู่กับเถา พวกท่านก็เช่นเดียวกันจะเกิดผลไม่ได้นอกจากจะติดสนิทอยู่กับเรา

สนิทอยู่ในเรา ท่านทั้งหลายได้รับการชำระ หมายถึง ผู้เชื่อได้รับความรอดแล้ว เพราะเขารู้จักพระเจ้า ไม่ใช่รู้เรื่องของพระเจ้า พระคัมภีร์ต้องการให้รู้จักพระคริสต์ ไม่ใช่รู้เรื่องพระคริสต์ มันมีความแตกต่างกันระหว่างรู้เรื่องกับรู้จัก เช่น วันคริสต์มาสเรารู้เรื่องพระเยซูมาบังเกิดที่ไหน มีโหราจารย์กี่คนมาทำอะไร แต่เรารู้จักพระเยซูผ่านเรื่องการเสด็จมาบังเกิดหรือไม่

ยน15:5 “เราเป็นเถาองุ่น พวกท่านเป็นแขนง คนที่ติดสนิทอยู่กับเราและเราติดสนิทอยู่กับเขา คนนั้นจะเกิดผลมาก เพราะว่าถ้าแยกจากเราแล้วพวกท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย

ย้ำอีกครั้ง เกิดผลมาก ถ้าเราแยกออกจากพระเจ้าแล้ว เราจะทำสิ่งใดให้เกิดผลไม่ได้เลย ต่อให้เราบากบั่น บุกเบิก สร้างสรรค์อย่างมากก็เกิดผลดีไม่ได้

เราต้องรู้จักพระองค์ด้วยชีวิตของเราเองไม่ใช่ผ่านจากชีวิตคนอื่นอย่างเดียว แต่ความรู้จักพระเจ้านี้มาจากที่ตนเองได้ใช้เวลากับพระเจ้า รู้พระทัย รู้พระประสงค์พระเจ้า  รู้ว่าพระองค์คิดอย่างไร

อฟ5:15-17 “เพราะฉะนั้น จงระวังในการดำเนินชีวิตให้ดี อย่าเหมือนคนไร้ปัญญา แต่ให้เหมือนคนมีปัญญา 16จงใช้โอกาสให้เป็นประโยชน์ เพราะว่าทุกวันนี้เป็นยุคสมัยที่ชั่วร้าย 17เพราะเหตุนี้ อย่าเป็นคนโง่เขลา แต่จงเข้าใจว่าอะไรคือพระประสงค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า

การรู้จักพระเจ้าที่ว่านี้เกิดจากสัมพันธ์ลึกซึ้งเข้าถึงพระทัยพระองค์ เราจะได้ยินเสียงตรัสของพระองค์ พระคัมภีร์เป็นเหมือนพระดำรัสของพระเจ้า  คือ ส่ิงที่บันทึกไว้ข้อความไม่มีการเปลี่ยนแปลง

“แต่เมื่อเราได้อ่านพระดำรัส เราเข้าใจ หรือคิดได้ หรือรู้ได้หรือไม่ว่า

พระดำริของพระเจ้า คือ อะไร”

ใครที่แต่งงานมากกว่า15 ปี คงจะรู้ว่า พอมีฝนตก ภรรยาพูดว่า ฝนตกแล้ว สามีก็ไปปิดหน้าต่าง หรือเก็บผ้าที่ตากไว้ หรือไปแยงท่อระบายน้ำ สำหรับผมหากภรรยาบอกว่าฝนตกแล้วเวลา1ทุ่ม ผมต้องไปปิดหน้าต่าง หากภรรยาบอกว่าฝนตกแล้วเวลาตอนบ่ายสามต้องไปรับลูก ถ้าทำแบบนี้แสดงว่าสามีรู้ใจภรรยา

วันนี้พระคริสต์ตรัสในพระคัมภีร์ เรารู้พระดำรัสของพระองค์  แต่พระองค์มีดำริอะไรให้เราทำ วันนี้เราต้องลุกขึ้นมาเพื่อบากบั่นรู้จักพระเยซูให้มากขึ้น มีอะไรบ้างที่เราต้องเปลี่ยนแปลงบ้างเพื่อจะรู้จักพระเยซูคริสต์มากขึ้น

โยนาห์เป็นคนที่รู้พระดำริของพระเจ้าอย่างดี เรารู้ได้เพราะว่า เมื่อเขาได้รับพระดำรัสของพระเจ้าให้ไปประกาศโทษคนเมืองนะเวห์ เขาไม่ไปตามพระดำรัส แต่เขาหนีไปไกลถึงเมืองทารชิช โยนาห์มีความสัมพันธ์สนิทสนมกับพระเจ้าอย่างมาก เขารู้ว่าหากพระเจ้าให้ไปกล่าวโทษเมืองนีนะเวห์ พระดำริของพระองค์ คือ พระองค์จะยกโทษความผิดบาปให้พวกเขา โยนาห์รู้พระดำริพระเจ้าเพราะว่ามีความสัมพันธ์สนิทสนมกับพระเจ้ามาก แต่เนื่องจากเขาอยากให้นีนะเวห์รับการลงโทษไม่ใช่การยกโทษ เขาจึงหนีไป

เวลาที่เราอ่านพระคัมภีร์แล้วรู้สึกว่าน่าเบื่อเพราะ เราอ่านแล้วเจอแต่พระดำรัส ไม่เจอพระดำริ  จะสังเกตได้ว่านักเทศน์แต่ละคนเวลาเทศน์พระธรรมตอนเดียวกัน แต่สามารถนำเสนอได้แตกต่างกัน เพราะพระดำรัสพระเจ้า มีพระดำริสำหรับคน แต่ละช่วงเวลาแตกต่างกัน เราอย่าเป็นคนโง่ไม่รู้พระดำริพระเจ้า แต่ขอให้เราเป็นคนฉลาดรู้ว่าอะไรเป็นน้ำพระทัยพระเจ้า 

เรามาดูว่าเปาโลทำอะไรบ้างหลังจากเชื่อ ผ่านพระธรรม ฟป3:12

1.กำหนดให้การรู้จักพระคริสต์เป็นหลักชัยของชีวิต (ฟป3:7-10)

ข้อ7 “แต่ว่าอะไรที่เคยเป็นกำไรของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้ถือว่าสิ่งนั้นเป็นการขาดทุนแล้วเพราะเหตุพระคริสต์” 

หมายความว่า หลังจากเชื่อแล้วอ.เปาโลทำทุกอย่างเพื่อเห็นแก่พระคริสต์

ข้อ 8 เห็นแก่ความประเสริฐแห่งความรู้เรื่องพระคริสต์

ข้อ9 ปรากฎอยู่ในพระคริสต์

ข้อ 10 ต้องการรู้จักพระองค์ พระคริสต์

จากวันนี้เป็นต้นไป เราตั้งเป้าหมายชีวิตของเราเสียใหม่ แทนที่จะตั้งเป้าหมายเป็นเงินที่จะหาได้ หรือเป็นตัวเลขกำไรที่เราต้องการ เปลี่ยนมาเป็นต้องการรู้จักพระคริสต์ให้ดีขึ้นอย่างที่พระองค์ต้องการให้เรารู้จัก พระคัมภีร์สอนให้เรารูจักพระเยซูแบบนี้เราจะไปตั้งเป้าหมายทำอะไรอย่างอื่นได้ บางคนมาหาพระเจ้า แค่ขอพระพรจากพระองค์  ทั้งๆที่ชีวิตส่วนตัวไม่แสวงหาพระเจ้าเลย ไม่เชื่อฟังพระเจ้าเลย แต่กล้ามาขอพระพรของพระเจ้า

2.ลงมือทำทันที

เพื่อให้เรามีความสัมพันธ์สนิทสนมกับพระเจ้า คริสเตียนบางครั้งดำเนินชีวิตเป็นศัตรูกับพระเจ้า ชอบทะเลาะกับพระเจ้า หลายคนมาเชื่อพระเจ้าเพราะไม่อยากจะตกนรกตามแบบความเชื่อเดิม พอรู้ว่าเป็นคริสเตียนแล้วไม่ต้องไปนรกก็เลยมาเชื่อพระเจ้า แต่พอหลังเชื่อแล้ว เราพอแล้วสำหรับการรู้จักพระเจ้า เอาแค่รอดแล้วพอแล้ว แท้ที่จริงแล้วเราบังเกิดใหม่จากสัจธรรมของพระเจ้า

ดังนั้นเราต้องกลับมาสู่สัจธรรมของพระเจ้า คือ พระคัมภีร์

1ปต1:23 “ท่านทั้งหลายได้บังเกิดใหม่แล้ว ไม่ใช่จากเมล็ดพันธุ์ที่เสื่อมสลายได้ แต่จากเมล็ดพันธุ์ที่ไม่เสื่อมสลาย คือจากพระวจนะของพระเจ้าที่มีชีวิตและดำรงอยู่” 

พระธรรมตอนนี้บอกกับเราว่า เกิดใหม่ด้วยพระวจนะพระเจ้า ไม่ใช่บังเกิดใหม่จากศิลธรรมที่ดี หรือแค่คำสอนที่ดี แต่เราเกิดใหม่จากพันธ์อมตะ คือพระวจนะทรงชีวิตและดำรงอยู่

เราต้องตั้งเรื่องนี้เป็นอันดับแรก อย่าเป็นเพียงผู้ที่มีความอยากรู้นำ้พระทัยพระเจ้า แต่ไม่แสวงหาพระเจ้าจริงๆ มองพระเจ้าเป็นส่ิงศักดิ์สิทธิ์บำรุงเนื้อหนังเท่านั้น อย่าเป็นเช่นนั้น

2.1 ทำอย่างต่อเนื่อง

เราต้องทำงานของพระเจ้า อย่างทุ่มเท บากบั่น ส่ิงที่เปาโลสอนในตอนนี้นั้นสอดคล้องกับคำสอนของพระเยซูที่เคยสอนในคำอุปมา ลก8:11-15 เรื่องดินสี่ชนิด  อุปมานั้นหมายถึงอย่างนี้ เมล็ดพืชหมายถึงพระวจนะของพระเจ้า 12ที่ตกตามหนทางหมายถึงคนเหล่านั้นที่ได้ยินแล้ว มารมาชิงเอาพระวจนะไปจากใจของเขาเพื่อไม่ให้เขาเชื่อและรับความรอด 13ที่ตกบนหินหมายถึงคนเหล่านั้นที่ได้ยินแล้วก็รับพระวจนะนั้นด้วยความยินดี แต่ไม่มีราก เชื่อได้เพียงชั่วคราว เมื่อถูกทดลองก็หลงไป 14ที่ตกกลางหนามหมายถึงคนเหล่านั้นที่ได้ยินแล้ว และขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่ ความกังวล ทรัพย์สมบัติ และความสนุกสนานของชีวิตนี้ ก็รัดพวกเขาจนทำให้ผลไม่เติบโต 15ที่ตกในดินดีหมายถึงคนเหล่านั้นที่ได้ยินพระวจนะแล้วจดจำไว้ด้วยใจที่ซื่อสัตย์ดีงาม จึงเกิดผลโดยความทรหดอดทน

แปลความสรุปได้ว่า ถ้าเราไม่ตั้งเป้าหมายในพระคริสต์ เราก็จะหลุดออก ไม่เกิดผล

2.2 กำจัดทุกส่ิงที่ทำให้เราไปไม่ถึงพระคริสต์

ปัจจุบันนี้เรามี Iphone Ipad Ipod ถ้าเอาคำต่อท้ายตัว I ออกไป ก็จะเหลือแต่กู”(I)  ไม่มีพระคริสต์แต่พระธรรม ฮบ12:1-2 “เพราะฉะนั้น เมื่อเรามีพยานมากมายอยู่รอบข้างอย่างนี้แล้วก็ขอให้เราละทิ้งทุกอย่างที่ถ่วงอยู่ และบาปที่เกาะแน่น ขอให้เรายังคงวิ่งแข่งด้วยความทรหดอดทนในการแข่งขันที่อยู่ข้างหน้าเรา 2โดยจับตามองที่พระเยซูผู้เบิกทางความเชื่อ และผู้ทรงทำให้ความเชื่อนั้นสมบูรณ์ พระองค์ทรงสู้ทนต่อกางเขน

เพื่อให้เราทิ้งบาปที่เกาะแน่นหมายเอาพระเยซูคริสต์ เป็นผู้บุกเบิกความเชื่อ ไม่ใช่ตัวเองเป็นผู้บุกเบิกความเชื่อ

2.3 ใช้ทุกอย่างเข้าแลกเพื่อให้ถึงหลักชัย

ลก14:25-33มีมหาชนไปกับพระเยซู พระองค์จึงทรงเหลียวหลังตรัสกับพวกเขาว่า 26ถ้าใครมาหาเราและไม่ชังบิดามารดา บุตรภรรยา และพี่น้องชายหญิง แม้แต่ชีวิตของตนเอง คนนั้นจะเป็นสาวกของเราไม่ได้ 27และใครก็ตามที่ไม่ได้แบกกางเขนของตนตามเรามา คนนั้นจะเป็นสาวกของเราไม่ได้ 28ในพวกท่านมีใครบ้างเมื่อปรารถนาจะสร้างตึก จะไม่นั่งลงคิดราคาดูเสียก่อนว่า จะมีพอที่จะสร้างให้สำเร็จได้หรือไม่29เกรงว่าเมื่อวางรากฐานแล้ว และทำให้สำเร็จไม่ได้ ทุกคนที่เห็นก็จะเยาะเย้ยเขา 30ว่าคนนี้เริ่มต้นก่อ แต่ทำให้สำเร็จไม่ได้’ 31หรือมีกษัตริย์องค์ไหน เมื่อจะยกกองทัพไปทำสงครามกับกษัตริย์อีกองค์หนึ่งนั้น จะไม่นั่งลงคิดดูเสียก่อนหรือว่า ที่มีพลทหารหนึ่งหมื่นจะสู้กับกองทัพที่ยกมารบสองหมื่นได้หรือไม่32ถ้าสู้ไม่ได้ก็จะใช้พวกทูตไปเจรจาผูกไมตรีกันในระหว่างที่อีกฝ่ายยังอยู่ไกล 33เช่นนั้นแหละ ทุกคนในพวกท่านที่ไม่ได้สละสิ่งสารพัดที่มีอยู่จะเป็นสาวกของเราไม่ได้

ผู้ใดไม่แบกกางเขนของตนตามเรามาผู้นั้นจะเป็นสาวกของเราไม่ได้ ทุ่มเทไม่พอ สละไม่พอ บากบั่นไม่พอเป็นสาวกของพระองค์ไม่ได้ ข้อ33 สรุปไว้

3.ดำเนินตามแนวทาง ฟป3:13-14

เราต้องเห็นตัวเองชัดเจนก่อนว่าเรายังไปไม่ถึงไหนเลย เรายังขาดสิ่งจำเป็น ถ้าเราคิดแบบพระธรรมตอนนี้ คิดแบบอ.เปาโล เราจะลืมอดีตของเรา ซึ่งไม่ได้หมายความว่าอดีตนั้นคือ เหตุการณ์ในอดีต  แต่หมายถึงการที่เรา

ไม่ให้เหตุการณ์ในอดีตมาเป็นอุปสรรคในการที่จะรู้จักพระเยซูคริสต์มากขึ้น

ไม่ว่าเหตุการณ์ในอดีตนั้นจะหมายถึงความสำเร็จหรือความล้มเหลว หรือความขมขื่น เจ็บปวด ขอให้อดีตเหล่านั้นอย่ามีอิทธิพลต่อการรู้จักพระคริสต์ของเราในปัจจุบันและอนาคต

ให้เราโน้มตัวออกไปหาส่ิงที่อยู่ข้างหน้า หมายถึง การที่เรามองเห็นเป้าหมายชัดเจน ทำให้เรามุ่งไปข้างหน้า จับคันไถแล้วอย่าหันกลับ จนกว่าจะถึงหลักชัย

บากบั่น หมายความว่า ทุ่มเท เริ่มต้น ไม่เลิก

หลายครั้งผมมาคิดว่าความดื้อก็เป็นประโยชน์ เมื่อก่อนคนชอบว่าผมทำไมดื้ออย่างนี้ แต่ผมขอบคุณพระเจ้า ผมเอาความดื้อมาต่อสู้การล่อลวงชั่วร้าย เอาความดื้อมาเพื่อจะทำตามพระเยซู ซึ่งต้องบากบั่น มุ่งมั่น ทุ่มเท จริงใจ เห็นคุณค่าการรู้จักพระคริสต์ มากกว่าเงินเดือน มากกว่าอะไรทั้งหมดที่สังคมเห็นคุณค่า

ฟป3:16  แต่เราได้แค่ไหนแล้วก็ให้ดำเนินตรงตามนั้นต่อไปขอให้เราเริ่มจากจุดที่เรายืนอยู่ การสรรค์สร้าง ก็จะเกิดขึ้นจากพระเจ้า ผ่านชีวิตของเรา แปลความว่า พระเจ้าสร้างเราเพื่อเราจะไปสร้างสรรค์

ฝากพระธรรมที่จะเป็นบทสรุปของชีวิตของเราที่รู้จักพระเจ้า ฮบ13:20-21 “ขอพระเจ้าแห่งสันติสุข ผู้ทรงนำพระผู้เลี้ยงแกะยิ่งใหญ่คือพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าของพวกเราขึ้นมาจากความตาย โดยโลหิตแห่งพันธสัญญานิรันดร์ 21ทรงให้พวกท่านเพียบพร้อมด้วยสิ่งดีทุกอย่าง เพื่อที่จะทำตามพระทัยของพระองค์โดยทรงทำงานในเรา ให้เกิดผลเป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ทางพระเยซูคริสต์ ขอพระสิริจงมีแด่พระองค์สืบๆ ไปเป็นนิตย์ อาเมน” 

“สรรค์สร้างเพื่อไปสร้างสรรค์”

ขอให้เราเป็นผู้บุกเบิกเรื่องนี้สำหรับคริสเตียนในประเทศไทย

ขอให้เราร่วมใจกันอธิษฐาน

สนใจติดต่อเรา หรือเชิญให้เทศนา ให้สอนหรือให้อบรม

www.facebook.com/FORWARD.CH.TH

Email: actsministry2017@gmail.com

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่