ก้าวที่ 33 มธ13:51-52 ลักษณะชีวิตคริสเตียนที่ดำเนินชีวิต “ตามพระวจนะของพระคริสต์”
ลักษณะชีวิตผู้ที่ตอบสนองพระวจนะ ลก8:11-15 มีทั้งหมด 5 ตอน
ก้าวที่ 29 ดำเนินชีวิตที่เป็นพระพร(เป็นประโยชน์)
ก้าวที่ 30 อย่าดำเนินชีวิตที่ไม่ตอบสนองพระวจนะ
ก้าวที่ 31 อย่าดำเนินชีวิตตามโลก
ก้าวที่ 32 อย่าดำเนินชีวิตไม่ผ่านการทดสอบทดลอง
ก้าวที่ 33 ดำเนินชีวิตตามที่ได้เรียนรู้เรื่องแผ่นดินของพระเจ้า
เขียนโดย อ.กิจขจร ลิ่วเฉลิมวงศ์ วันที่ 13 เม.ษ.2020
ตอนที่ 5 ดำเนินชีวิตตามที่ได้เรียนรู้เรื่องแผ่นดินของพระเจ้า
1.ดำเนินชีวิตเข้าใจแผ่นดินของพระเจ้า (51)
2.ดำเนินชีวิตเป็นสาวก (52ก)
3.ดำเนินชีวิตสร้างสาวก (52ข)
ทรัพย์เก่าและทรัพย์ใหม่
51“ข้อความเหล่านี้ท่านทั้งหลายเข้าใจแล้วหรือ?” พวกเขาทูลตอบพระองค์ว่า “เข้าใจพระเจ้าข้า” 52พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “เพราะเหตุนี้พวกธรรมาจารย์ทุกคน ที่ได้เรียนรู้ถึงแผ่นดินสวรรค์แล้ว ก็เป็นเหมือนเจ้าของบ้านที่เอาทั้งของใหม่และของเก่าออกจากคลังของตน”
เบื้องหลังของพระธรรมตอนนี้ เป็นคำสอนเกี่ยวข้องกับเรื่องแผ่นดินสวรรค์ หรือแผ่นดินของพระเจ้า พระเยซูคริสต์สอนอุปมานี้บนเรือที่ทะเลสาบกาลิลี โดยสอนเป็นคำอุปมาเปรียบเทียบแผ่นดินของพระเจ้ากับสิ่งต่างๆ ให้ความเข้าใจแผ่นดินสวรรค์ในหลายๆมุมมอง เช่น
มธ13:1-9 อุปมาเรื่องผู้หว่านพืช แล้วไปอธิบายความหมายใน (มธ13:18-23) ซึ่งได้อธิบายไว้ 4 ตอนก่อนหน้านี้แล้วจากลก8:11-15
มธ13:24-30 อุปมาเรื่องข้าวละมานท่ามกลางต้นข้าวสาลี
มธ13:31-32 อุปมาเรื่องเมล็ดพืชอธิบายใน (มธ13:36-43 การทรงอธิบายอุปมาเรื่องข้าวละมาน)
มธ13:33 อุปมาเรื่องเชื้อขนม
มธ13:34-35 จุดประสงค์การใช้อุปมา
มธ13:44-50 อุปมาแผ่นดินสวรรค์สามเรื่อง
ผู้ฟังในเวลานั้นมีมหาชน ประชาชนทั่วไป และพวกสาวก เนื้อหาเป็นเรื่องแผ่นดินสวรรค์ของพระเจ้า โดยพระเยซูคริสต์อธิบายคำอุปมาให้สาวกเข้าใจ แสดงว่าพระเยซูคริสต์อธิบายให้คนที่เชื่อพระองค์แล้วเข้าใจ แต่ผู้ที่ฟังอุปมาแล้วไม่เข้าใจในคำสอนของพระเยซูคริสต์ พวกเขาไม่สามารถดำเนินชีวิตอย่างถูกต้องได้
แต่ผู้เชื่อที่ฟังแล้วไม่เข้าใจก็เหมือนคนที่ไม่เชื่อ หากคนที่ฟังไม่ว่าจะเป็นคนเชื่อหรือไม่เชื่อหากพวกเขาไม่เข้าใจคำอุปมานี้แล้ว พวกเขาก็ไม่สามารถดำเนินชีวิตตามอุปมานี้ จนเกิดผลตามที่พระเยซูคริสต์คาดหวังได้
คำเทศนาตอนนี้ เน้นเรื่องลักษณะชีวิตคริสเตียนที่ดำเนินชีวิต “ตามพระวจนะของพระคริสต์” ยังคงเกี่ยวข้องกับเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า ผู้เชื่อควรมีลักษณะชีวิตอย่างไร เหมือนพลเมืองแห่งแผ่นดินสวรรค์ในเรื่องผู้เป็นสุขแล้วใน มธ5:3-12 ยิ่งกว่านั้นผู้เชื่อยังต้องดำเนินชีวิตตอบสนองพระวจนะของพระคริสต์ด้วยหลังจากที่เชื่อพระเจ้าแล้ว จาก ลก8:11-15
ในมธ13:51-52 เป็นตอนที่ 5 นี้เป็นเรื่องที่สรุปเรื่องการตอบสนองต่อแผ่นดินของพระเจ้าดีที่สุด คือ ตอนที่ 5 ดำเนินชีวิตตามที่ได้เรียนรู้เรื่องแผ่นดินของพระเจ้า
เราสามารถเรียนรู้บทสรุปของคำอุปมาเรื่องแผ่นดินของพระเจ้าในเนื้อหาคำเทศนามากขึ้น วันนี้เราจึงมาเรียนรู้เรื่องนี้ ผ่านหัวข้อคำเทศนา
มธ13:51-52 ลักษณะชีวิตคริสเตียนที่ดำเนินชีวิต
“ตามพระวจนะของพระคริสต์” มีทั้งหมด 5 ตอน
ตอนที่ 5 ดำเนินชีวิตตามที่ได้เรียนรู้เรื่องแผ่นดินของพระเจ้า
1.ดำเนินชีวิตเข้าใจแผ่นดินของพระเจ้า (51)
51“ข้อความเหล่านี้ท่านทั้งหลายเข้าใจแล้วหรือ?” พวกเขาทูลตอบพระองค์ว่า “เข้าใจพระเจ้าข้า”
เข้าใจ GK4920:suniémi(v) อ่านว่า (soon-ee’-ay-mee) ทั่วไปหมายถึง ฉันพิจารณา ฉันเข้าใจ ฉันรับรู้
รากศัพท์มาจากคำว่า รวมเข้าด้วยกันระหว่างความจริง ข้อเท็จจริง กับความคิด โดยรวมให้มีความครบถ้วน, ที่เชื่อมทั้งหมดประสานกัน,สังเคราะห์
ในมธ13:51 พระเยซูคริสต์พูดกับสาวก ไม่ใช่ธรรมาจารย์ คำว่า “เข้าใจ” หมายถึง นำส่ิงที่รับรู้กับสิ่งที่ได้รับรู้ เพื่อกำหนดหรือรวมเข้ากันกับความคิด ตัวอย่างเพื่อจะเข้าใจ ให้ดูคำนี้ที่ใช้ในพระคัมภีร์ตอนอื่น
ถ้าพวกสาวกเข้าใจให้ทำตามที่ได้เรียนรู้
มธ13:23ส่วนเมล็ดซึ่งหว่านตกในดินดีนั้น ได้แก่บุคคลที่ได้ยินพระวจนะนั้นและเข้าใจ คนนั้นก็เกิดผลร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง
ให้พวกสาวกเข้าใจพระคัมภีร์เดิมที่เล็งถึงพระองค์
ลก24:44-45 พระองค์ตรัสกับเขาว่า “นี่เป็นถ้อยคำของเรา ซึ่งเราบอกไว้กับท่านทั้งหลายขณะที่เรายังอยู่กับท่านว่า บรรดาถ้อยคำที่เขียนไว้ในหมวดธรรมบัญญัติของโมเสส ในหมวดผู้เผยพระวจนะ และในหมวดเพลงสดุดีที่กล่าวถึงเรานั้น จำเป็นจะต้องสำเร็จ” 45แล้วพระองค์ทรงช่วยให้ใจของพวกเขาสว่างเพื่อจะได้เข้าใจพระคัมภีร์
ให้พวกสาวกเข้าใจ โดยให้ระวังคำสอนพวกฟาริสี และพวกสะดูสี
มธ16:12 พวกสาวกจึงเข้าใจว่า พระองค์ไม่ได้ตรัสสั่งเขาทั้งหลายให้ระวังเชื้อ แต่ให้ระวังคำสอนของพวกฟาริสีและพวกสะดูสี
เปาโลหนุนใจให้ผู้เชื่อเข้าใจพระประสงค์ของพระเจ้า
อฟ5:17 เพราะเหตุนี้ อย่าเป็นคนโง่เขลา แต่จงเข้าใจว่าอะไรคือพระประสงค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า
“เข้าใจ” ในที่นี้น่าจะเป็นการพิจารณา เข้าใจ รับรู้ เรื่องแผ่นดินของพระเจ้า ตั้งแต่ มธ13:1-50 “โดยนำข้อเท็จจริงเรื่องแผ่นดินสวรรค์ที่ได้เรียนรู้ นำมาสังเคราะห์กับความคิด นำมาเชื่อมประสานกัน”
เมื่อเข้าใจเรื่องแผ่นดินสวรรค์ย่อมไม่สงสัยเรื่องการดำเนินชีวิตแผ่นดินสวรรค์อีกนี้อีก พวกสาวกมีคำตอบในความคิดแล้ว เรื่องแผ่นดินสวรรค์เพื่อใช้ในการอธิบาย ปรากฎการณ์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในความเป็นจริงของชีวิตในโลกปัจจุบันที่เผชิญอยู่ได้นั่นเอง
ซึ่งความเข้าใจนี้เอง ทำให้เกิดการปฎิบัติต่อไป และปฎิบัติจนเป็นการดำเนินชีวิตเพื่อแผ่นดินของพระเจ้า ไม่ใช่ดำเนินชีวิตอยู่เพื่อโลกนี้ หรืออยู่เพื่อตัวเองอีกต่อไป
การดำเนินชีวิตเพื่อแผ่นดินของพระเจ้า เป็นลักษณะชีวิตของผู้เชื่อในฐานะที่เป็นพลเมืองแห่งแผ่นดินของพระเจ้าในท้ายที่สุดนั่นเอง
หน้าที่ทำความเข้าใจพระเจ้า เข้าใจพระวจนะ เป็นเรื่องที่ผู้เชื่อทุกคนต้องทำ ต้องแสวงหาพระเจ้า ถ้าเราไม่เข้าใจพระเจ้า ไม่เข้าใจพระวจนะ เราจะดำเนินชีวิตเป็นที่พอพระทัยพระเจ้าได้อย่างไร
2.ดำเนินชีวิตเป็นสาวก (52ก)
52พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “เพราะเหตุนี้พวกธรรมาจารย์ทุกคน ที่ได้เรียนรู้ถึงแผ่นดินสวรรค์แล้ว ก็เป็นเหมือนเจ้าของบ้านที่เอาทั้งของใหม่และของเก่าออกจากคลังของตน”
คำว่า “เรียนรู้” GK3100:mathéteuó(v) อ่านว่า (math-ayt-yoo’-o) หมายถึง เป็นสาวก สร้างสาวก ได้รับการฝึกฝน ได้รับการอบรมสั่งสอน
ได้รับการสร้างเป็นสาวก สร้างสาวก
“เรียนรู้”กรณีที่คำนี้เป็นคำกริยา หมายถึง การช่วยคนให้ก้าวหน้าในการเรียนพระวจนะของพระเจ้าเพื่อจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เติบโตเป็นสาวก
พวกเขา ในตอนนี้ หมายถึง พวกสาวก (มธ13:36พวกสาวกมาเฝ้าพระองค์ทูลว่า “ขอพระองค์โปรดอธิบายให้ข้าพระองค์ทั้งหลายเข้าใจอุปมา) “สาวก” เป็นคำนามของคำกริยาว่า “เรียนรู้” GK3101:mathétés (n) อ่านว่า (math-ay-tes’) คือ ผู้ที่เรียนรู้ ผู้ติดตามพระคริสต์แท้จริง ถูกฝึก ถูกพัฒนาจากความจริงแห่งพระวจนะ และดำเนินชีวิตตามที่พระวจนะเรียกร้อง
เช่น การช่วยผู้เชื่อคนอื่นให้เรียนรู้ที่จะเป็นสาวกของพระเยซูคริสต์ ให้เชื่อในพระองค์ และดำเนินชีวิตตามพระองค์
มธ:28:19 เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงออกไปและนำชนทุกชาติมาเป็นสาวกของเรา จงบัพติศมาพวกเขาในพระนามของพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์
คำว่า “ธรรมาจารย์” GK1122:grammateus (n) อ่านว่า(gram-mat-yooce’) หมายถึง อาลักษณ์,นักเขียน,เสมียน มีความหมายแตกต่างอยู่ที่บริบท เช่น ก) ครูสอนศาสนาในเยรูซาเล็ม เป็นผู้เรียนธรรมบัญญัติยิว ข)ในเมืองเอเฟซัส เป็นเลขาธิการเมือง ค)คนที่เรียนรู้เรื่องโดยทั่วไป
ในมธ13:52 ธรรมาจารย์น่าจะหมายถึง ครูสอนศาสนา ผู้เรียนธรรมบัญญัติยิว ทำหน้าที่เป็นอาลักษณ์ เป็นนักเขียน เป็นเสมียนด้วย เป็นอาจารย์ผู้ให้คำแนะนำ การเรียนรู้และให้ความสามารถในการสอนของเขา เพื่อพัฒนาการสอน เพื่อพัฒนาการสอนอาจารวมเข้ากับความรู้เรื่องแผ่นดินของพระเจ้าด้วย
ก่อนหน้านั้นพระเยซูคริสต์สอนเป็นคำอุปมาแต่มาอธิบายให้สาวกเข้าใจภายหลัง พวก “ธรรมาจารย์” ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายต้ังแต่แรกที่พระเยซูคริสต์จะอธิบายคำอุปมาให้พวกเขาเข้าใจ เพราะเวลานั้นมีมหาชน กับฝูงชนมาฟัง ส่วนพวกธรรมาจารย์อาจจะอยู่ในกลุ่มมหาชนกับฝูงชนก็ได้
และถ้าพวกธรรมาจารย์เข้าใจ ไม่ใช่เพียงแค่ได้ฟังหรือได้ยินพระวจนะ พวกธรรมาจารย์จะดำเนินชีวิตเหมือนพวกสาวกของพระเยซูคริสต์ ที่พระองค์อธิบายอุปมาให้พวกสาวกเข้าใจ เพื่อให้พวกสาวกดำเนินชีวิตตามที่พระองค์อธิบายเช่นกัน
มธ13:34-35 ข้อความทั้งหมดนี้ พระองค์ตรัสกับฝูงชนเป็นอุปมา และนอกจากอุปมา พระองค์ไม่ได้ตรัสกับพวกเขาเลย 35ทั้งนี้เพื่อจะให้สำเร็จตามพระวจนะที่กล่าวโดยผู้เผยพระวจนะว่า “เราจะอ้าปากกล่าวอุปมา เราจะกล่าวข้อความ ซึ่งปิดซ่อนไว้ตั้งแต่เริ่มสร้างโลก”
ถ้าหากพวกธรรมาจารย์สามารถเข้าใจเรื่องแผ่นดินสวรรค์เหมือนพวกสาวก แสดงว่า พวกธรรมาจารย์สามารถนำส่ิงที่เขาเคยเรียนรู้จากธรรมบัญญัติเดิมมาสังเคราะห์ มาทำความเข้าใจเรื่องแผ่นดินของพระเจ้าได้เช่นกัน แม้ว่าพวกเขาได้เรียนรู้ธรรมบัญญัติ มีโลกทัศน์แบบศาสนายิว แต่เขาสามารถจะเข้าใจเรื่องแผ่นดินของพระเจ้าได้เช่นกัน
แสดงว่าพระเยซูคริสต์พูดประโยคนี้ ข้อ52 เป็นการคาดหวังว่าใน “อนาคต”หากพวกธรรมาจารย์ จะเข้าใจเรื่องแผ่นดินของพระเจ้าได้ และถ้าเข้าใจแล้วพวกเขาจะดำเนินชีวิตเป็นสาวก แม้ไวยากรณ์บอกว่าเป็นรูปการณ์ “อดีต” คือ ได้เรียนรู้เรื่องแผ่นดินของพระเจ้าแล้ว พวกธรรมาจารย์จะทำบางอย่างใน “ปัจจุบัน” นั่นคือ การสร้างสาวก ซึ่งประเด็นนี้เราจะดูต่อไปในประเด็นที่ 3
สรุป เมื่อธรรมาจารย์เรียนรู้จนเข้าใจแล้ว ต่อให้เขาเป็นธรรมาจารย์ของศาสนาเดิม เขาก็ต้องดำเนินชีวิตใหม่เป็นสาวกพระเยซูคริสต์เช่นกัน คนที่เข้าใจเรื่องแผ่นดินสวรรค์ก็จะดำเนินชีวิตเป็นสาวกของพระเยซูคริสต์ ผู้เป็นเจ้าของแผ่นดินสวรรค์นั่นเอง
ประยุกต์ใช้แบบใกล้ตัวสำหรับคริสเตียน:ผู้นำ หรืออาจารย์ หรือคณะผู้ปกครอง ไม่ว่าจะเป็นคริสตจักรใด สังกัดใด หากยังไม่เข้าใจเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า ก็จะไม่ดำเนินชีวิตเป็นสาวก แต่อาจจะให้ความสำคัญหรือให้น้ำหนักกับเรื่องอื่นๆ แทนที่จะเป็นเรื่องพระเยซูคริสต์ พระบุตรพระเจ้าผู้เป็นเจ้าของแผ่นดินสวรรค์
ประยุกต์ใช้แบบไกลตัวสำหรับคนที่ไม่เชื่อ คือ คนที่เป็นอาจารย์สอนศาสนาอื่น หากเขาเข้าใจความจริงเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า เขาจะมาเป็นสาวกของเจ้าของแผ่นดินสวรรค์ นั่นคือ พระเยซูคริสต์ นั่นเอง
หรือศาสนิกชน หรือคนที่เคร่งศาสนามาก มีศิลธรรมจรรยา กลัวเรื่องบาปบุญคุณโทษ กลัวตกนรกอยากไปสวรรค์ พยายามทำดีสร้างกรรมดี สร้างบุญกุศล หากได้เข้าใจความจริงเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า เขาจะรู้ว่าเจ้าของสวรรค์เป็นผู้ที่จะอนุญาต ให้พวกเขาได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ ไม่ใช่ด้วยความดีที่เขาทำ แต่เป็นเพราะความเชื่อที่เขามีต่อพระเยซูคริสต์ และเมื่อเชื่อพระเยซูคริสต์แล้วเขาจึงดำเนินชีวิตรักษาความเชื่อ ด้วยการดำเนินชีวิตใหม่เป็นสาวก และสร้างสาวกต่อไป
3.ดำเนินชีวิตสร้างสาวก (52ข)
52พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “เพราะเหตุนี้พวกธรรมาจารย์ทุกคน ที่ได้เรียนรู้ถึงแผ่นดินสวรรค์แล้ว ก็เป็นเหมือนเจ้าของบ้านที่เอาทั้งของใหม่และของเก่าออกจากคลังของตน”
“เอาออกจาก”GK1544:ekballo(V) อ่านว่า(ek-bal’-lo) หมายถึง นำออกมา โดยปราศจากแนวคิดความรุนแรง
คำว่า “เอาออกจาก” นี้ใช้ในมธ12:35 รวมกับคำว่า “คลังดี” ซึ่งเป็นข้อพระคัมภีร์ใกล้เคียงกับมธ13:52 อย่างมาก ผู้ฟังเวลานั้นก็มีฝูงชน ฟาริสี หมายถึง การพูดดีมาจากชีวิตที่ดีของคนพูด“คนดีก็เอาของดีมาจากคลังแห่งความดีในตัวของเขา คนชั่วก็เอาของชั่วมาจากคลังแห่งความชั่วในตัวของเขา”
ถ้าเราดูจากบริบท พวกสาวกเมื่อเข้าใจเรื่องแผ่นดินของพระเจ้าแล้ว พวกเขาก็จะไปสอนสร้างสาวก การสอนก็เป็นหนึ่งในวิธีการสร้างสาวก
คำว่า “คลัง” GK2344:thésauros(n) อ่านว่า(thay-sow-ros’) หมายถึง คลังเก็บของมีค่า เช่น ทรัพย์สมบัติ คลังสินค้า แต่ในที่นี้น่าจะหมายถึง ความรู้เรื่องแผ่นดินของพระเจ้า กับเรื่องธรรมบัญญัติ เป็นส่ิงที่มีค่าในชีวิตของพวกธรรมาจารย์
ถ้าธรรมาจารย์ได้เข้าใจ หลังจากได้เรียนรู้ ก็น่าจะหมายถึง การนำความจริงเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า สังเคราะห์รวมกับธรรมบัญญติเดิมได้ และถ้าธรรมมาจารย์เข้าใจเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า พวกเขาจะเป็นสาวกของเจ้าของอาณาจักรพระเจ้า นั่นคือ พระเยซูคริสต์ ยิ่งกว่านั้นพวกเขาจะสร้างสาวกต่อไปด้วย การสอนจึงเป็นเพียงวิธีการหนึ่งในการสร้างสาวก
การนำของดีออกจากชีวิตของตน หมายถึง การดำเนินชีวิตเป็นแบบอย่าง การเป็นแบบอย่างก็เป็นเรื่องสำคัญอย่างมากในการสร้างสาวก เฉพาะการพูดหรือการสอนจากความรู้ อาจจะไม่มีพลังมากกว่าการพูดหรือการสอนในส่ิงที่มาจากชีวิตของผู้สอนที่เป็นแบบอย่างสาวก
พระเยซูคริสต์เป็นแบบอย่างในการปรนนิบัติรับใช้
ยน13:15เพราะว่าเราวางแบบอย่างแก่พวกท่านแล้ว เพื่อให้ท่านทำเหมือนอย่างที่เราทำกับท่านด้วย
อ.เปาโลหนุนใจทิโมธี ให้เอาใจใส่ชีวิต ให้ทำตามแบบที่สอน หรือเลียนแบบชีวิตท่าน
1ทธ4:6จงเอาใจใส่ทั้งตัวท่านและคำสอนของท่าน จงประพฤติสิ่งเหล่านี้อยู่เสมอ เพราะเมื่อทำอย่างนี้แล้ว ท่านจะสามารถช่วยทั้งตัวท่าน และทุกคนที่ฟังท่านให้รอดได้
2ทธ1:3 จงประพฤติตามแบบอย่างของคำสอนที่ถูกต้องที่ท่านได้ยินจากข้าพเจ้า ด้วยความเชื่อและความรักซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์
1คร11:1ท่านทั้งหลายจงทำตามแบบอย่างของข้าพเจ้า เหมือนกับที่ข้าพเจ้าทำตามแบบอย่างของพระคริสต์
ฟป3:17พี่น้องทั้งหลาย จงร่วมกันทำตามแบบอย่างของข้าพเจ้า ท่านมีเราเป็นตัวอย่างแล้ว จงสังเกตดูคนเหล่านั้นที่ดำเนินชีวิตตามแบบอย่างที่เราวางไว้ให้พวกท่านนั้น
ทต2:7ท่านเองจงประพฤติตนให้เป็นแบบอย่างในการดีทุกด้าน ในการสอนอย่างจริงใจ จริงจัง
Meyer: ของใหม่และของเก่า อาจหมายถึง เปรียบเทียบเหมือนว่า ตอนนี้ไม่รู้ กับตอนนี้รู้แล้ว หรือ คำเผยวจนะในอดีตมีความหมายอย่างหนึ่งแต่ให้หลักฐานเติมเต็มความหมายใหม่ ตัวอย่างเช่น พระเยซูคริสต์ใช้ธรรมบัญญัติเดิม แต่ให้ความหมายใหม่ เรื่องธรรมบัญญัติกับความชอบธรรม ไม่ได้ล้มเลิกแต่ทำให้สมบูรณ์
มธ5:17-20 “อย่าคิดว่าเรามาล้มเลิกธรรมบัญญัติและคำของบรรดาผู้เผยพระวจนะ เราไม่ได้มาล้มเลิก แต่มาทำให้สมบูรณ์ทุกประการ 18เพราะเราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า จนกว่าฟ้าและดินจะล่วงไป แม้อักษรที่เล็กที่สุด หรือขีด ขีดหนึ่ง ก็จะไม่มีวันสูญไปจากธรรมบัญญัติ จนกว่าทุกสิ่งจะเกิดขึ้น 19เพราะฉะนั้น ใครทำให้ข้อเล็กน้อยเพียงข้อหนึ่งในพระบัญญัตินี้ มีความสำคัญน้อยลง และสอนคนอื่นให้ทำอย่างนั้นด้วย คนนั้นจะได้ชื่อว่าเป็นผู้เล็กน้อยที่สุดในแผ่นดินสวรรค์ แต่ใครที่ประพฤติและสอนตามธรรมบัญญัติ คนนั้นจะได้ชื่อว่าเป็นใหญ่ในแผ่นดินสวรรค์ 20เพราะเราบอกพวกท่านว่า ถ้าความชอบธรรมของท่านไม่มากกว่าความชอบธรรมของพวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี พวกท่านจะไม่มีวันได้เข้าสู่แผ่นดินสวรรค์
มธ13:52 เอาทั้งของใหม่และของเก่าออกจากคลังของตน น่าจะหมายถึง การสะสมเก็บความรู้ (เรื่องแผ่นดินของพระเจ้า) ของชีวิตอาจารย์ผู้สอน นำมาซึ่งการแบ่งปันของอาจารย์โดยมีวัตถุประสงค์ในการให้คำแนะนำเพื่อการสอน
อ.ยอห์นก็ใช้วิธีการแบบนี้ ใช้บัญญัติเดิมแต่ให้ความหมายใหม่ คนที่มีธรรมบัญญัติแท้จริง คือ คนที่ดำเนินชีวิตตามความจริงของพระเยซูคริสต์ ดำเนินชีวิตตามความสว่าง คือ รักพี่น้อง แต่คนที่บอกว่าตนมีธรรมบัญญัติเดิมแต่เกลียดชังพี่น้อง แสดงว่าพวกเขายังไม่เข้าใจ
1ยน2:7-8 ท่านที่รักทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่ได้เขียนบัญญัติใหม่ถึงท่านเลย แต่เป็นบัญญัติเก่าซึ่งท่านเคยมีอยู่ตั้งแต่เริ่มแรก บัญญัติเก่านั้นคือคำซึ่งท่านได้ยินมาแล้ว 8อีกนัยหนึ่งก็กล่าวได้ว่าข้าพเจ้าเขียนบัญญัติใหม่ถึงพวกท่านซึ่งเป็นความจริงทั้งในพระองค์และในท่าน เพราะว่าความมืดนั้นกำลังจะผ่านพ้นไป และความสว่างแท้กำลังส่องอยู่แล้ว
1ยน2:9-10ผู้ที่กล่าวว่าตนอยู่ในความสว่าง ขณะที่ยังเกลียดชังพี่น้องของตน ผู้นั้นก็ยังอยู่ในความมืด 10ผู้ที่รักพี่น้องของตนก็อยู่ในความสว่าง และในตัวเขานั้นไม่มีอะไรทำให้สะดุด
ความรักเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างสาวก สาวกรู้ว่าพระเยซูคริสต์รักเขาพวกเขาจึงเป็นสาวกของพระองค์
พระเยซูคริสต์เป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตเพื่อแผ่นดินของพระเจ้า ตั้งแต่พระองค์ มาบังเกิด มาทำราชกิจ สิ้นพระชนม์ที่กางเขน เป็นขึ้นมาจากความตาย เสด็จสู่ฟ้าสวรรค์
คนเราจะสอนเรื่องแผ่นดินของพระเจ้าให้กับคนอื่น จากชีวิตของตนเองที่ไม่เข้าใจเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า และผู้สอนไม่ดำเนินชีวิตตามเรื่องที่ตนเองสอนเรื่องแผ่นดินของพระเจ้าได้อย่างไร
สอนคนจากสมองใช้ความรู้เป็นเรื่องง่าย แต่สอนคนจากชีวิตที่ได้เรียนรู้จนเข้าใจแล้ว โดยดำเนินชีวิตตามที่เข้าใจแล้วนั้นเป็นเรื่องที่ยาก