อ.ประยูร ลิมะหุตะเศรณี Bible House “รักพระคำ”
อาทิตย์ที่ 26 ม.ค. 2019 คริสตจักรบ้านพลังรัก ครั้งที่๑
มีสามบทที่วันนี้เราจะมาศึกษาด้วยกัน ส่วนบทที่สี่ ท่านต้องเรียนด้วยตนเอง เป็นหน้าที่ทำตารางเวลาให้(roster) ต้องไปทำเอง ความเป็นจริงยังมีเนื้อหาอีกสองบท แต่ต้องตัดทิ้งไปเพราะเวลาไม่มีมากพอ
พระคำของพระเจ้ากับพระเจ้า เป็นเรื่องเดียวกัน สามารถพูดได้ว่าพระคำคือ พระเจ้า มีเหตุผลจากพระคัมภีร์สนับสนุน ยน1:1ในปฐมกาลพระวาทะทรง ดำรงอยู่ และพระวาทะทรงอยู่กับพระเจ้า และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า
ข้อ14พระวาทะทรงเกิดเป็นมนุษย์และทรงอยู่ท่ามกลางเรา เราเห็นพระ สิริของพระองค์ คือ พระสิริที่สมกับพระบุตรองค์เดียวของพระบิดา บริบูรณ์ด้วยพระคุณและความจริง
ปัญญาของมนุษย์ไม่มีความสามารถรับได้ หรือย่อยได้ หรือเข้าใจได้จริงๆในเรื่องนี้ที่ยากแบบนี้ ต้องเป็นปัญญาที่มาจากเบื้องบนอย่างเดียวจึงจะเข้าใจเรื่องนี้ได้ หรือเราจะเถียงว่าพระคำไม่ใช่พระเจ้า ได้ด้วยเหตุผลของมนุษย์หรือ
รักพระคำของพระเจ้า คือ รักพระเจ้า หลายครั้งเราฟังคำเทศน์ เรารักคำเทศน์ แต่เราอาจจะไม่ได้รักชีวิตนักเทศน์ก็เป็นได้ แต่กับพระเจ้าเราทำแบบ นั้นไม่ได้ เพราะพระคำกับพระเจ้าเป็นคนเดียวกัน
ปัญหาของเราคือ เรารักคำสอนของคนสอนแต่ไม่รักคนสอน บางครั้งเราเสื่อมศรัทธาผู้สอน แต่บางครั้งเราบอกว่าเรารักพระเจ้า แต่เราก็ไม่ได้รักพระคำของพระเจ้า ไม่ได้อ่าน ไม่ได้ศึกษา ไม่ตั้งใจจะทำตามพระคำ
บางครั้งพระเจ้าก็เป็นมากกว่าพระคำของพระองค์ ทำให้เราบอกได้อีก มุมหนึ่งว่าว่าพระคำไม่ใช่พระเจ้า เพราะพระเจ้าเป็นมากกว่าพระคำของพระองค์ กล่าวคือ
พระคัมภีร์ไม่สามารถอธิบายเรื่องพระเจ้าได้ไม่มากเท่ากับที่พระองค์เป็น หรือที่พระองค์ให้บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ได้นั่นเอง
แต่เรารับเรื่องเหล่านี้ได้ทางความเชื่อ เพราะปัญญา หรือความคิด เหตุผล ของเรามีการเปื้อนบาป ทำให้เราเข้าใจไม่ได้ ไปไม่ถึงสิ่งที่พระเจ้าเป็น มนุษย์จึงต้องใช้ความเชื่อโดยมีพื้นฐานทางพระคัมภีร์ที่พระเจ้าสำแดงให้เราเข้าใจ พระเจ้าทำให้เราเข้าใจ ความเชื่อแท้จริงทำให้เราเข้าใจ ความเชื่อที่ถูกบังคับให้เชื่อไม่ได้ทำให้เข้าใจได้จริงๆ
ความเข้าใจที่มาโดยความเชื่อเป็นโดยพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น ไม่ใช่ความเข้าใจที่มาจากคำอธิบายของผู้สอน หรือความฉลาดของผู้เรียน ดังนั้นการเรียนพระคัมภีร์จึงมีความสัมพันธ์กับพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความถ่อมใจของเราต่อพระเจ้าด้วย
รักพระคำกับรักพระเจ้าเป็นเรื่องเดียวกัน แม้ว่าบางคร้ังเรารักพระคำไม่เหมือนที่เรารักพระเจ้า เพราะพระเจ้าตอบสนองเราได้ มีปฎิสัมพันธ์กับเราได้ แต่บางคร้ังเวลาที่เราอ่านพระคำ เราอาจจะรู้สึกเพียงแค่อ่านหนังสือก็ได้
บทที่ ๑ ข้าพระองค์รักพระธรรมของพระเจ้า
สดด. ๑๑๙:๙๗ โอ (แหม) ข้าพระองค์รัก(พระ) ธรรมบัญญัติของพระองค์จริงๆ เป็นคำภาวนาของข้าพระองค์เสมอ (วันยังค่ำ)
ให้เรามาพิจารณาพระรรมสดุดีข้อนี้ด้วยกัน พระธรรมข้อนี้ เป็นประสบการณ์ที่ชัดเจนของผู้เขียนเกี่ยวกับ พระธรรมบัญญัติของพระเจ้า จนผู้เขียนอดไม่ได้ที่จะแสดงออกมาจากความรู้สึกส่วนลึกในใจเป็นคำพูดว่า “โอ ข้าพระองค์รักพระธรรมบัญญัติของพระองค์จริงๆ เป็นคำภาวนาของข้าพระองค์วันยังค่ำ
เวลาเราชอบคำไหน ที่โดนใจ เราก็มักจะเอาคำน้ันติดอยู่ในสมองเรา วันหนึ่งเราก็จะเอามาใช้ หากวันนี้สมองเราไม่มีเนื้อหาไม่ดี มีแต่ข้อพระคำมาภาวนาในชีวิตของเราเสมอ เราก็จะได้ใช้พระคำดีๆของพระเจ้า
ประการที่ 1 ให้เรามาทำความเข้าใจกับขอบเขตของ คำว่า
“พระธรรมบัญญัติของพระเจ้า” ในที่นี้ หมายถึง
1.บัญญัติสิบประการ
อพย.๓๔:๒๗–๒๘, พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “เจ้าจงเขียนคำเหล่านี้ไว้ เพราะเราทำพันธสัญญาไว้กับเจ้าและกับพวกอิสราเอลตามคำเหล่านี้แล้ว” 28โมเสสเข้าเฝ้าพระยาห์เวห์อยู่ที่นั่นสี่สิบวันสี่สิบคืน ท่านไม่ได้รับประทานอาหารหรือดื่มน้ำเลย ท่านจารึกถ้อยคำแห่งพันธสัญญาไว้บนแผ่นศิลา คือพระบัญญัติสิบประการ
ฉธบ.๓๑:๙,๒๔, โมเสสได้เขียนธรรมบัญญัตินี้ และมอบให้ปุโรหิตบุตรหลานของเลวีผู้หามหีบพันธสัญญาของพระยาห์เวห์ และแก่พวกผู้ใหญ่ทั้งสิ้นของคนอิสราเอล 24 เมื่อโมเสสเขียนถ้อยคำของธรรมบัญญัตินี้ลงในหนังสือจนจบแล้ว
ยน.๗:๑๙ โมเสสให้ธรรมบัญญัติแก่พวกท่านไม่ใช่หรือ? แต่ไม่มีใครในพวกท่านประพฤติตามธรรมบัญญัตินั้น พวกท่านหาโอกาสฆ่าเราทำไม?”
2.คำสั่งสอนของผู้เผยวจนะ รวมทั้งโมเสสด้วย
ลก.๑๖:๒๙แต่อับราฮัมตอบว่า ‘เขามีโมเสสและพวกผู้เผยพระวจนะแล้ว ให้พวกเขาฟังคนเหล่านั้นเถิด’
ลก๒๔:๒๗ แล้วพระองค์ทรงอธิบายพระคัมภีร์ที่เล็งถึงพระองค์ทุกข้อให้เขาฟัง เริ่มต้นตั้งแต่โมเสสและบรรดาผู้เผยพระวจนะทั้งหมด
3.ปัจจุบันนี้ คำนี้รวมความไปถึง คำสั่งสอนขององค์พระเยซูคริสต์
4.คำสอนของเปาโลและอัครทูตทั้งหมดเป็นธรรมบัญญัติของพระเจ้าด้วย
๒ธก.๒:๑๕ เพราะฉะนั้น พี่น้องทั้งหลายจงมั่นคงไว้ และยึดถือคำสอนที่ท่านได้เรียนจากเรา ไม่ว่าจะด้วยคำพูดหรือด้วยจดหมาย
สรุปความว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าที่ปรากฏในพระคริสต์ธรรมคัมภีร์ทั้งเล่ม คือ พระธรรมบัญญัติของพระเจ้า และทั้งหมดนี้ บรรจุอยู่ในหนังสือพระคริสตธรรมคัมภีร์ทั้งเล่ม
เราต้องรักพระเจ้า และพระคัมภีร์ด้วยอารมณ์เดียวกัน ไม่ใช่เบื่อพระคัมภีร์แต่รักพระเจ้า เราสามารถรับอารมณ์เดียวกันของพระเจ้า กับพระคำของพระเจ้าได้ด้วย อารมณ์ที่เรารับมาจากพระเจ้า ทำให้เราแสดงออกด้วยอารมณ์ของพระเจ้าได้ด้วย เช่น พระคำนั้นหวาน, ตวงด้วยทนานอันใด, แต่งงานกับพระเจ้าหวานชื่นเพียงใด เหมือนคนหนุ่มสาวรักกันมันหวาน มันสวีท ไม่ใช่ขม บางคริสตจักรอาจารย์เทศน์หวาน ศิษยาภิบาลไปถามว่าโดนไหม มันคนละเรื่องกันเลย
ประการที่ 2 ให้เรามาทำความเข้าใจกับความรักในพระธรรมบัญญัติของพระเจ้า
ในส่วนของพระเจ้า
ธรรมบัญญัติเป็นพระพรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพระเจ้าที่ทรงประทานแก่ มนุษย์ต่อจากชีวิตนิรันดร์ เวลาที่เราพูดถึงความสวย ความรวย ความหล่อ เรานับส่ิงเหล่านี้เป็นพระพร แต่พระคัมภีร์บอกว่าความรักท่ีมีต่อพระคำเป็นพระพรเช่นเดียวกัน
เวลาที่เราใช้คำว่าขอพระเจ้าอวยพร บางครั้งมีการแฝงความหมายแบบสวย รวย หล่อ สุขภาพดีเท่านั้น แต่วันนี้ขอให้แฝงว่า พระเจ้าอวยพรหมายถึง การรักพระคำพระเจ้าด้วย
ธรรมบัญญัติเป็นพระพรที่พระเจ้าทรงใส่ไว้ในชีวิตใหม่ ควบคู่มากับชีวิตนิรันดร์
1ปต1:23 ชีวิตใหม่ในพระเจ้า กระตุ้นเราให้เกิดความรักในพระวจนะพระเจ้า ขอพระเจ้าช่วยเราให้รักพระวจนะ ของพระองค์ ที่ทำให้เราเกิดใหม่ในพระเจ้า
ในส่วนของมนุษย์
ความรักในธรรมบัญญัติเป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นในคนที่มีความซาบซึ้งในความรักของพระเจ้า ทำให้รักพระคำของพระองค์ด้วย อยากได้ยินคนที่รัก พูดเกี่ยวกับเราอย่างไร เพราะพระคำของพระเจ้า กับพระเจ้าเป็นเรื่องเดียวกัน เราจะรักพระเจ้า กับพระคำด้วยอารมณ์อย่างเดียวกันได้อย่างไร
ใครที่เจ็บปวดอกหัก พอได้รับคำปลอบใจเรารู้สึกซาบซึ้ง เราอยากได้ยินอีก คริสเตียนที่ผิดหวังในพระเจ้า ในคนของพระเจ้า พอเขาเริ่มกลับมาที่พระคัมภีร์ เขาจะรู้ว่าพระเจ้าเป็นอย่างไร ทำให้เขาซาบซึ้งในพระเจ้าไม่ใช่ซาบซึ้งในคนอีกต่อไป
เป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นในคนที่มีความรักต่อพระเจ้า หลายคนไม่ได้สร้างชีวิตให้เกิดความรักในพระคำของพระเจ้า จึงไม่มีอารมณ์ความรู้สึกแบบนี้
สดด.๑๓๘:๒ 2ข้าพระองค์จะกราบลงตรงมายังพระวิหารบริสุทธิ์ของพระองค์ และจะยกย่องพระนามของพระองค์ เนื่องด้วยความรักมั่นคงและความซื่อสัตย์ของพระองค์ เพราะพระองค์ทรงเชิดชูพระนามและพระดำรัสของพระองค์เหนือสิ่งสารพัด
พระเจ้าทรงเชิดชูพระนามและพระดำรัสของพระองค์เหนือส่ิงสารพัด พระนามไม่ได้แปลว่า “ชื่อ” เท่านั้น หมายถึง ทุกสิ่งทุกอย่างของพระองค์ เช่น พระเยซูบอกว่าอธิษฐานในนามของพระองค์ พระคำก็ คือ พระองค์ พระนาม ก็คือ พระองค์
เราต้องเรียนรู้เพื่อจะรักพระดำรัสของพระองค์ ตามที่พระคัมภีร์บอก ไม่ใช่รักพระคัมภีร์เพราะว่าคนรักให้กับเรา หรือพระคัมภีร์เป็นรุ่นลิมิเต็ด แต่รักพระคำ คือ รักพระเจ้า พระธรรมข้อนี้ชี้ให้เราเห็นว่า
(สดด.๑๐๕:๓) พระนามของพระองค์ จงสรรเสริญพระนามพระองค์บริสุทธิ์ ให้ยินดีกับพระองค์
(ยน.๑๗:๑๗)ขอทรงแยกพวกเขาให้บริสุทธิ์ ด้วยความจริง พระวจนะของพระองค์เป็นความจริง
พระคำหรือพระวจนะของพระองค์ เป็นความจริงทำให้ชีวิตของเราบริสุทธิ์ เราไปไม่ถึงความจริงของพระเจ้า เพราะเราเป็นคนบาป แต่พระเจ้าที่เป็นพระวจนะบริสุทธิ์สามารถชำระเราได้
พระวจนะที่เป็นอักษรไม่ได้ช่วยเรา แต่พระเจ้าที่เป็นพระวจนะต่างหากที่ช่วยเรา จะทำให้เราเกิดอารมณ์ความรักต่อพระวจนะพระเจ้าอย่างที่ควรเป็น จะเปลี่ยนแปลงการดำเนินชีวิตของเราได้ เพราะเราเข้าใจความจริงเรื่องนี้ รักพระเจ้า รักพระคำ รักพระคำ รักพระเจ้า
เราจะทำอะไรก็ตามเราต้องเป็นแบบนั้นก่อน เราจึงจะทำ จากBeing ก่อน แล้วเป็น Doing เพราะเราเป็นคนจึงพูดภาษาคน ไม่ใช่ภาษานก
เราอยากรักพระคำของพระเจ้า ดังนั้นเราต้องเกิดใหม่ก่อน เราต้องเป็นคนของพระเจ้าก่อน เราจึงจะรักพระคำ คำถามคือ แล้วอะไรไม่ทำให้เราเป็นอย่างที่เราควรจะเป็น ทำไมเรายังรักความบาปอยู่ ทำไมเรายังเป็นคนที่ไว้ใจไม่ได้
ถ้าเรากับพระเจ้า เรากับพระวจนะพระเจ้าเป็นสายพันธุ์เดียวกัน เราจะเป็นคนบริสุทธิ์เหมือนที่พระเจ้าเป็นคนบริสุทธิ์ ผ่านพระคำที่บริสุทธิ์ เราจะรู้สึกเกลียดบาป แต่เราจะรักคนบาป แต่รังเกียจบาปหรือส่ิงที่เขากระทำ เป็นไปได้อย่างไรในเมื่อเขาเป็นคนบาปที่ทำบาป แต่เรารักความเป็นคนบาปของเขาได้ แต่เกลียดบาปที่เขาทำ
1ปต1:23 ท่านทั้งหลายได้บังเกิดใหม่แล้ว ไม่ใช่จากเมล็ดพันธุ์ที่เสื่อมสลายได้ แต่จากเมล็ดพันธุ์ที่ไม่เสื่อมสลาย คือจากพระวจนะของพระเจ้าที่มีชีวิตและดำรงอยู่
เราเชื่อฟังพระเจ้า เชื่อฟังพระคำ เชื่อฟังพระนาม ทั้งหมดเป็นเรื่องเดียวกัน
เราจะเป็นคนจริงใจ โปร่งใส บริสุทธิ์ ทำธุรกิจก็ตรงไปตรงมา หาแฟนก็ไม่โกหกหลอกลวง เราจะรังเกียจความไม่ถูกต้อง เพราะคุณจะกลัวไม่พบพระเจ้า มากกว่าจะไม่พบความสำเร็จ ถ้าพบพระเจ้าจะพบความสำเร็จ แม้ดูเหมือนพระเจ้าล้มเหลวในเวลาที่พระเยซูโดนตรึงที่กางเขน แต่พระเยซูบอกว่าสำเร็จแล้ว
เราต้องเรียนรู้ที่จะเชิดชูพระนาม และพระคำพระเจ้าเช่นเดียวกัน เพราะพระเจ้ากับพระคำเป็นเรื่องเดียวกัน
มก.๑๖:๑๗ มีคนเชื่อที่ไหนหมายสำคัญเหล่านี้จะเกิดขึ้นที่นั้น คือพวกเขาจะขับผีออกโดยนามของเรา พวกเขาจะพูดภาษาแปลกๆ
พระนามของพระเจ้า คือ พระนามของพระองค์ที่ทำให้ขับผีออก พระนามพระเจ้ามีสิทธิอำนาจที่มอบไว้กับเรา ในการปรนนิบัติรับใช้พระองค์ มีงานมากมายที่เราจะทำได้ผ่านทางพระนามของพระองค์
สิทธิอำนาจที่พระองค์ ประทานให้เกี่ยวข้องกับความบริสุทธิ์ของพระเจ้า ถ้าเราสะอาด เราสามารถใช้สิทธิอำนาจของพระเจ้า กับความบริสุทธิ์ของพระเจ้าผ่านชีวิตเรา ชื่อของพระเจ้าไม่ได้มีสิทธิอำนาจ ไม่ว่าจะเป็น คำ หรือข้อความ หรือภาษาต่างๆที่ออกเสียงว่า เยซู ไม่ได้มีสิทธิอำนาจ แต่มาจากชีวิตที่บริสุทธิ์ต่างหาก
๑ยน.๒:๓–๖ ถ้าเราประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ เราจะมั่นใจได้ว่าเรารู้จักพระองค์ 4ผู้ที่กล่าวว่า “ข้าพเจ้ารู้จักพระองค์” แต่ไม่ได้ประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ คนนั้นเป็นคนพูดมุสาและสัจจะไม่ได้อยู่ในเขาเลย 5แต่ผู้ที่ประพฤติตามพระวจนะของพระองค์ ความรักของพระเจ้าก็บริบูรณ์อยู่ในผู้นั้นอย่างแท้จริง เพราะเหตุนี้แหละเราจึงรู้ว่าเราอยู่ในพระองค์ 6ผู้ที่กล่าวว่าตนอยู่ในพระองค์ ผู้นั้นก็ควรดำเนินชีวิตเหมือนพระองค์
พระธรรมบัญญัติ คือ เส้นทางที่พระเจ้าทรงสำแดงแก่เราให้ดำเนินชีวิต ตามพระคำของพระองค์ ตามพระลักษณะของพระเจ้า เป็นบุตรที่ไม่มีบาป
1ยน1:5-7นี่เป็นข้อความที่เราได้ยินจากพระองค์ และบอกกับพวกท่าน คือว่าพระเจ้าทรงเป็นความสว่าง และความมืดในพระองค์ไม่มีเลย 6ถ้าเราจะว่า เรามีสามัคคีธรรมกับพระองค์ขณะที่ยังเดินอยู่ในความมืด เราก็โกหก และไม่ได้ดำเนินชีวิตตามความจริง 7แต่ถ้าเราเดินอยู่ในความสว่าง เหมือนอย่างที่พระองค์สถิตในความสว่าง เราก็มีสามัคคีธรรมซึ่งกันและกัน และพระโลหิตของพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์ ก็ชำระเราให้ปราศจากบาปทั้งสิ้น
ในพระเจ้าไม่มีความมืด เพราะพระองค์เป็นความสว่าง หลายคนอยากเป็นที่รัก เลยต้องพยายามทำตัวเองให้มีความสามารถ ให้แสดงออก พยายามเป็นดารา เพื่อให้คนรักเรา แต่คริสเตียนมีความรักที่มาจากพระเจ้า ไม่ใช่ต้องพยายามทำตนเองให้เป็นที่รัก
ความรักในพระธรรมของพระเจ้า เป็นส่ิงสมควรจะได้รับการปกป้องเท่าชีวิต เพราะมันจะสร้างความเสียหายอย่างมากให้กับผู้ที่สูญเสียมันไป ขอให้เรามีความรักพระเจ้าแบบมีอารมณ์หวานชื่นตลอดนิรันดร์กาลผ่านพระคำพระเจ้า เหมือนความรู้สึกเพิ่งแต่งงาน เพิ่งฮันนีมูน มีแต่ความหวานชื่น ตลอดเวลา (Just Married sweet forever) เพิ่งแต่งงานแต่จะหวานชื่นตลอดนิรันดร์กาล ไม่ใช่เป็นภาพแต่งงานที่เสื่อมไปแล้ว มีแต่ความทรงจำที่ยังอยู่
หากเราไม่รักในพระธรรมของพระเจ้า เราจะสูญเสียสิทธิที่จะเข้าถึงพระนามของพระเจ้า เนื่องจากไม่มีอะไรที่จะเข้าถึงพระนามของพระเจ้าได้นอกจากพระคำของพระเจ้า
หากเราไม่รักในพระธรรมของพระเจ้า เราจะเสียสิทธิอำนาจในการที่จะเป็นบุตรของพระเจ้า ไม่มีอะไรที่จะเข้าถึงพระเจ้าได้นอกเหนือจากพระคำของพระเจ้าผ่านทางพระเยซูคริสต์ เราเข้าใจพระเจ้าผ่านพระคำที่เป็นลาย ลักษณ์อักษรไม่ได้ เพราะอักษรให้ชีวิตไม่ได้ ถ้าไม่เราไม่เข้าถึงพระวาทะคือ พระเยซูของพระเจ้า
ถ้าไม่มีพระคำ เราไม่มีทางเข้าถึงพระนามของพระองค์ได้เลย จากพระคำของพระเจ้า แปลความว่า ถ้าไม่มีพระคำของพระเจ้าแล้วเราก็ไม่มีทางที่จะเข้าถึงพระนามของพระองค์ได้เลย
ยน.๑:๑๒ แต่ทุกคนที่ยอมรับพระองค์ คือคนที่เชื่อในพระนามของพระองค์นั้น พระองค์ก็จะประทานสิทธิให้เป็นลูกของพระเจ้า
เราจะสูญเสียสิทธิอำนาจจากพระนามของพระเจ้า ในการที่จะเป็นบุตรของพระเจ้า
กจ.๔:๑๒ในผู้อื่นความรอดไม่มีเลย เพราะว่านามอื่นซึ่งให้เราทั้งหลายรอดได้นั้น ไม่โปรดให้มีท่ามกลางมนุษย์ทั่วใต้ฟ้า”
เราจะสูญเสียโอกาสในการรับความรอดจากพระเจ้า
๑ยน.๕:๓ เพราะว่าความรักต่อพระเจ้าเป็นอย่างนี้ คือเมื่อเราประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ และพระบัญญัติของพระองค์นั้นไม่เป็นภาระหนักเกินไป
เราจะสูญเสียความรักที่มีต่อพระเจ้า เพราะไม่ได้ดำเนินชีวิตตามพระธรรมบัญญัติของพระองค์
พระเจ้าดูว่าเรารักพระองค์ ไม่ใช่ดูจากการแสดงออกภายนอกของเรา แต่พระเจ้าดูการเชื่อฟังของเราจากภายในต่างหาก
การนมัสการเกี่ยวข้องกับการถวายบูชา พระเจ้าปรารถนาความเชื่อฟังมากกว่าการบูชา ดังนั้นการเชื่อฟังพระเจ้าทำให้ต้องทำตามพระวจนะ
หลายคนโกหกตัวเองโดยไม่รู้ตัว เพราะเข้าใจผิดคิดว่า รักพระเจ้า คือ ไปทำงานรับใช้ หรือไปนมัสการ แต่ความเป็นจริงรักพระเจ้า คือ การเชื่อฟัง และทำตามพระวจนะ
๑ยน.๒:๓–๔ ถ้าเราประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ เราจะมั่นใจได้ว่าเรารู้จักพระองค์ 4ผู้ที่กล่าวว่า “ข้าพเจ้ารู้จักพระองค์” แต่ไม่ได้ประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ คนนั้นเป็นคนพูดมุสาและสัจจะไม่ได้อยู่ในเขาเลย
เราจะสูญเสียสิทธิที่จะได้รับการสำแดงจากพระเจ้า เพราะไม่ได้ประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ เพื่อให้รู้จักพระเจ้ามากขึ้น เพราะต่อให้เรามีปัญญาฉลาดขนาดไหน เราก็ไม่สามารถจะเข้าถึงพระเจ้าได้ด้วยสติปัญญาของตนเอง ถ้าเราไม่สนใจจะรักพระเจ้า ไม่รักพระวจนะ พระองค์ก็จะไม่สำแดงความจริงของพระองค์แก่เรา
มนุษย์โหยหาพระเจ้าในจิตใจของเขา แต่เขาเข้าใจผิดคิดว่าศาสนา ปรัชญา คือ คำตอบ แต่เขาจะไม่พบ ทำให้ต้องแสวงหาต่อไป แต่เมื่อเรามาเป็นคริสเตียน เราได้รับการสำแดงความจริงจากพระเจ้าแล้ว แต่กลับดำเนินชีวิต โดยไม่สนใจพระคำพระเจ้า ชีวิตของเราก็จะห่างๆๆๆ พระเจ้าไป
โมเสสพบพระเจ้าที่พุ่มไม้ครั้งเดียวเพียงพอตลอดชีวิตในการติดตามพระเจ้า ทั้งๆที่ความจริงโมเสสพบพระเจ้าหลายครั้ง จนกระทั่งวันหนึ่งโมเสสขอเห็นหน้าพระเจ้า พระเจ้าไม่ให้เขาเห็นหน้าเพราะเขาจะตาย
อพย33:12-23 เป็นความกระหายของโมเสสที่ต้องการรู้จักพระเจ้ามากขึ้นแม้เขาจะได้พบกับพระเจ้า บ่อยๆ ข้อ13 ถ้าเขาเป็นที่โปรดปรานขอสำแดงพระมรรคเพื่อจะรู้จักพระองค์ มากกว่าที่รู้จักมาแล้ว
แต่พระเจ้าไม่ได้ตอบสนองคำอธิษฐานของโมเสส พระเจ้าบ่ายเบี่ยง พระเจ้าให้เขาเห็นไม่ได้ เพราะโมเสสไม่พร้อมจะตาย แต่พระเจ้าให้รู้เท่าที่รับได้คือ ให้โมเสสเห็นหลังของพระองค์
แต่วันนี้ในพระคริสต์เรารู้จักพระเจ้าได้ และพระเจ้าเปิดช่องให้เรารู้จักพระองค์ได้เป็นการส่วนตัว
กจ22:14 ท่านจึงกล่าวว่า ‘พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของเราทรงเลือกท่านเพื่อให้รู้จักพระทัยของพระองค์ ให้ท่านเห็นพระองค์ผู้ชอบธรรม และได้ยินพระสุรเสียงจากพระโอษฐ์ของพระองค์
พระเจ้าเลือกเราให้เห็น พระเจ้าให้เราได้ยินเสียงพระองค์ ให้เรารู้จักพระเจ้าได้ผ่านพระคำ ถ้าเราไม่รักพระคำเราจะสูญเสียสิทธิที่จะรู้จักพระเจ้าได้
ตัวอย่างความน่าหลงรักของพระวจนะของพระเจ้า
ฮบ.๔:๑๒ เพราะว่าพระวจนะของพระเจ้านั้นมีชีวิตและทรงพลานุภาพอยู่เสมอ และคมยิ่งกว่าดาบสองคมใดๆ แทงทะลุกระทั่งแยกจิตและวิญญาณ ทั้งข้อกระดูกและไขในกระดูก และสามารถวินิจฉัยความคิดและความมุ่งหมายในใจด้วย
ทรงพลานุภาพอย่างยิ่งใหญ่ สำหรับทุกคน สำหรับสถานการณ์
ยน.๑:๓พระเจ้าทรงสร้างสรรพสิ่งขึ้นมาโดยพระวาทะ ในบรรดาสิ่งที่เป็นอยู่นั้น ไม่มีสักสิ่งเดียวที่เป็นอยู่นอกเหนือพระวาทะ
สร้างโดยพระวาทะ
ฮบ.๑๑:๓โดยความเชื่อ เราจึงเข้าใจว่า พระเจ้าได้ทรงสร้างจักรวาล ด้วยพระดำรัสของพระองค์ ดังนั้นสิ่งที่มองเห็นจึงเป็นสิ่งที่เกิดจากสิ่งที่ไม่ปรากฏให้เห็น
โดยความเชื่อพระเจ้าสร้างจากพระดำรัส
สดด.๓๓:๖,๙ โดยพระวจนะของพระยาห์เวห์ ฟ้าสวรรค์ก็ถูกสร้างขึ้นมากับบริวารทั้งปวง ก็ด้วยลมพระโอษฐ์ของพระองค์ 9เพราะพระองค์ตรัส โลกก็เกิดขึ้นมาพระองค์ทรงบัญชา มันก็ตั้งมั่นคง
ทรงพลานุภาพในการทรงสร้างจากพระวจนะ โดยพระวจนะสร้างฟ้าสวรรค์ พระองค์ตรัสมันก็เกิด ถ้าเราต้องการทำให้ชีวิตดีขึ้น เราต้องใช้พระวจนะเป็นหลักในการสร้างชีวิต ให้อย่างอื่นๆมีความสำคัญเป็นลำดับรองลงไป เช่น คำสอน พ่อแม่ ปรัชญา เราจะเจริญขึ้นจากพลานุภาพการทรงสร้างจากพระวจนะ ให้เราเป็นคนฉลาด ให้มีปัญญา
๑ธส.๒:๑๓ เราขอบพระคุณพระเจ้าเสมอ เพราะว่าเมื่อท่านทั้งหลายได้รับพระวจนะของพระเจ้า ซึ่งท่านได้ยินจากเรา ท่านไม่ได้รับไว้อย่างเป็นคำของมนุษย์ แต่ได้รับไว้ตามความเป็นจริง คือเป็นพระวจนะของพระเจ้า ซึ่งกำลังทำงานอยู่ภายในท่านที่เชื่อ
ทรงพลานุภาพในการเสริมสร้างชีวิตของเราจากภายใน พระวจนะกำลังทำงานอยู่ในชีวิตของเรา ถ้าคุณไม่รักพระคำพระเจ้า ภายในของเราจะไม่เปลี่ยนแปลง อย่าเสริมสร้างชีวิตจากด้านนอก หรือเสริมความรู้ที่สมอง
๑ยน.๒:๑๔ ท่านทั้งหลายที่เป็นลูก ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่าน
เพราะพวกท่านรู้จักพระบิดาท่านทั้งหลายที่เป็นบิดา ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่านเพราะท่านรู้จักพระองค์ผู้ทรงดำรงอยู่ตั้งแต่ปฐมกาล ท่านทั้งหลายที่เป็นคนหนุ่ม ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่านเพราะพวกท่านมีกำลังมากและพระวจนะของพระเจ้าดำรงอยู่ในพวกท่านและท่านชนะมารร้ายนั้นแล้ว
ทรงพลานุภาพเอาชนะมารร้ายได้ ตัวสูงสุดของความชั่วร้ายเลยคือ มาร ไม่มีใครเอาชนะมารร้ายนั้นได้นอกจากพระเยซู และคริสตจักร แต่เราชนะมารร้ายได้โดยให้พระวจนะพระเจ้าดำรงในท่าน มารกลัวความบริสุทธิ์ของพระเจ้า อาจารย์มีประสบการณ์พระเจ้าช่วยให้สุขภาพไม่เป็นอะไรจากการทานอาหารที่ทำอาหารจากบ่อน้ำของคนทั้งหมู่บ้านมาถ่ายอุจจาระ อาจารย์ทั้งกิน ดื่ม ทั้งแปรงฟันด้วยน้ำนั้น แต่ไม่ป่วยเลย
๑ทธ.๔:๕ เพราะว่าสิ่งนั้นได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ด้วยพระวจนะของพระเจ้าและคำอธิษฐาน
ทรงพลานุภาพในการชำระให้บริสุทธิ์ด้วยพระวจนะของพระเจ้า และคำ อธิษฐาน หมายความว่า เรากินอะไรไปพระเจ้าจะไม่ให้เป็นอันตรายกับร่างกายของเรา เพราะอาหารได้รับการชำระให้บริสุทธิ์
ยน.๑๗:๑๗ ขอทรงแยกพวกเขาให้บริสุทธิ์ด้วยความจริง พระวจนะของพระองค์เป็นความจริง
ทรงพลานุภาพในการชำระชีวิตของเราให้บริสุทธิ์ในมาตรฐานของพระเจ้า ซึ่งไม่มีอะไรสามารถทำได้นอกจากพระโลหิตของพระเยซู และพระวจนะของพระเจ้า
ประการที่ 3 ให้เราทำความเข้าใจกับคำภาวนาเสมอ
สืบเนื่องจากความรักในพระธรรมของพระเจ้า และความรักในพระเจ้า ส่งผลให้พระธรรมของพระเจ้าเป็นคำภาวนาของเราวันยังค่ำ เหมือนผู้เขียนพระธรรมสดุดี
พระธรรมของพระองค์เป็นคำภาวนาของข้าพระองค์ หมายถึง เราเชื่อมพระคำพระเจ้าเข้ากับการอธิษฐานของเรา เชื่อมคำอธิษฐานของเราเข้ากับพระธรรมของพระเจ้า เพื่อเราจะเข้าถึงพระเจ้าหรือเข้าถึงน้ำพระทัยของพระเจ้าตามวิถีแห่งพระธรรมของพระเจ้ามากขึ้นทุกๆวัน