ความสุข เป็นของบุคคลที่ฟังแล้วจด แต่ความสำเร็จเป็นของบุคคลที่จดแล้วทำตาม
“ท่าที เป็นเรื่องของบทสรุปที่เกิดจากความเข้าใจ
ตามมุมมองของแต่ละคนในเรื่องต่าง ๆ
ท่าทีของเรานั้นเป็นได้ทั้งเพื่อนที่ดีที่สุด และศัตรูที่ร้ายที่สุด
มันสามารถทำให้ความคิดของเราปิดตายและอนาคตที่มืดทึบ หรือทำให้ความคิดเปิดกว้างและอนาคตที่สดใส
ดังนั้น ในการที่เราจะก้าวเข้าสู่ชีวิตการรับใช้อย่างเต็มท่าที เราต้องทำความเข้าใจ
ภาพรวมของพันธกิจของพระเจ้าที่ทรงกำหนดไว้สำหรับเรา ในฐานะที่เราเป็นส่วนหนึ่งของคริสตจักร ให้ชัดเจนก่อน”
ถ้าหากว่าท่าทีเราถูกต้อง ก็จะทำให้ชีวิตสดใจเจริญ แต่ถ้าตรงกันข้าม ก็จะทำให้ชีวิตของเราไม่เจริญ ล้มเหลว
วันรุ่น มักจะมีเนื้อหาเยอะ แต่สาระมักจะไม่ค่อยมี พูดได้เป็นชั่วโมง แต่ว่าไม่ค่อยมีสาระ แต่เวลาพ่อแม่ว่า ก็มักจะมีสาระ แต่เนื้อหาเดิม ๆ ดังนั้นจึงขอที่จะให้เราหาสมดุล ไม่ใช่ให้มีสาระเยอะเกินไป แต่ก็ให้มีบ้าง เพราะถ้าสาระเยอะเกินไป ก็จะเป็นบ้า
การรับใช้เต็มท่าที เริ่มต้นที่คริสตจักร ดังที่พระเยซูคริสต์ทรงเริ่มต้นพันธกิจของพระองค์ที่คริสตจักร
I.ทำความเข้าใจเรื่องคริสตจักรของพระเจ้า
1. คริสตจักรเป็นความคิดของพระเจ้า (อดีต)
ในอดีต คริสตจักรของพระเจ้า เป็นโครงการของพระเจ้า เป็นความคิดของพระเจ้า
“ในพระเยซูคริสต์นั้น พระองค์ได้ทรงเลือกเราไว้ ตั้งแต่ก่อนที่จะทรงเริ่มสร้างโลก เพื่อเราจะบริสุทธิ์ และปราศจากตำหนิในสายพระเนตรของพระองค์“ (เอเฟซัส 1:4)
ความคิดของพระเจ้า โครงการของพระเจ้าเกี่ยวกับพวกเรา ที่เป็นส่วนของคริสตจักร ได้ถูกคิดขึ้นตั้งแต่ก่อนจะทรงเริ่มสร้างโลก เป็นโครงการระยะยาว พวกเราอยู่ในความคิดของพระเจ้ามาตั้งแต่สร้างโลก พวกเรามีคุณค่าในสายพระเนตรของพระเจ้าสูงมาก
ประวัติศาสตร์ทั้งหลายของโลก ล้วนอยู่ในแผนการของพระองค์ เพื่อในที่สุดแล้ว เราจึงได้มาอยู่ที่นี่เวลานี้
“9 และทำให้คนทั้งปวง เห็นแผนงานแห่งความล้ำลึก ซึ่งตั้งแต่แรกสร้างโลกทรงปิดบังไว้ที่พระเจ้าผู้ทรงสร้างสารพัดทั้งปวง
10 ประสงค์จะให้เทพผู้ปกครอง และศักดิเทพในสวรรคสถาน รู้จักปัญญาอันซับซ้อนของพระเจ้าทางคริสตจักร ณ บัดนี้ (เอเฟซัส 3:9-10)
การรับใช้พระเจ้า เราจะต้องมีท่าทีที่ถูกต้อง พระเจ้าต้องการใช้คริสตจักรที่จะเปิดเผยความมหัศจรรย์แห่งพระปัญญาของพระเจ้า ให้เทพผู้ปกครอง ศักดิเทพ มนุษย์ทุกคนรู้ว่า พระองค์ทรงมีพระปัญญาที่สุดยอด
เราทั้งหลายเป็นส่วนหนึ่งของแผนการนี้ เราต้องรับใช้เต็มท่าที เพราะเราจะเป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้คนทึ่งในพระปัญญาของพระเจ้า
ที่นี่ พวกเรามาจากคริสตจักรหลาย ๆ คริสตจักร ถ้าหากท่าทีของผู้รับใช้พระเจ้าผิด ก็จะเกิดปัญหามากมาย เราทั้งหลาย จะต้องเต็มที่กับพระคริสต์ เพราะเรามีค่ามากสำหรับพระเจ้า
“21 จงยอมฟังกันและกัน ด้วยความเคารพในพระคริสต์
22 ฝ่ายภรรยา จงยอมฟังสามีของตน เหมือนยอมฟังองค์พระผู้เป็นเจ้า
23 เพราะว่า สามีเป็นศีรษะของภรรยา เหมือนพระคริสต์ทรงเป็นศีรษะของคริสตจักร ซึ่งเป็นพระกายของพระองค์ และพระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของคริสตจักร” (เอเฟซัส 5:21)
พระเจ้าทรงวางพระเยซูคริสต์เจ้าไว้ที่ศีรษะของคริสตจักร ทุกวันนี้พระองค์ก็ยังทรงเป็นศีรษะของคริสตจักร
ในสมัยพระคัมภีร์เดิม พระเจ้าทรงแต่งตั้งคนขึ้นมาเป็นตัวแทนของพระเจ้า เพื่อที่พระองค์จะติดต่อมนุษย์ ผ่านทางคนคนนั้น เพราะมนุษย์นั้นจะไม่สามารถพบพระองค์ได้ คนคนนั้นแม้ว่าจะประพฤติตัวไม่ดี เราก็ไม่มีสิทธิที่จะแตะต้องคน ๆ นั้น
ในสมัยพระคัมภีร์ใหม่ พระเยซูคริสต์ทรงเป็นศีรษะของคริสตจักร และไม่เคยปรากฎว่าพระเจ้าทรงแต่งตั้งใครมาแทนพระองค์ เราทุกคนสามารถติดต่อพระเจ้าได้ผ่านทางพระเยซูคริสต์
แต่ถ้าหัวของคริสตจักรถูกเปลี่ยน อาจโดยการแต่งตั้งใครขึ้นมาแทน ต้องระวังให้ดี เพราะว่าเขาไม่ใช่ศีรษะของคริสตจักร
พระเยซูคริสต์ทรงให้อำนาจแก่คริสตจักร แต่ถ้ามีมนุษย์ผู้ใดมาพยายามทำหน้าที่เป็นศีรษะแทน มาเรียกร้องสิทธิอำนาจ คอยควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง ก็เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
ศิษยาภิบาล ผู้ปกครอง มัคนายก เป็นตัวแทนของมนุษย์ ที่ได้รับเลือกมาทำหน้าที่ในการดูแลคริสตจักร ไม่ใช่ตัวแทนของพระเจ้า ไม่เหมือนกับผู้นำในพระคัมภีร์เดิมที่เป็นตัวแทนของพระเจ้า ดังนั้น ถ้าหากผู้นำคนนั้นประพฤติตัวไม่ดี เราสามารถที่จะแตะต้องเขาได้ ไม่ต้องกลัว
2. พระเยซูคริสต์เป็นผู้สร้างคริสตจักรของพระองค์ (ปัจจุบัน)
ในปัจจุบัน พระเยซูคริสต์เป็นผู้สร้างคริสตจักรของพระองค์
“ฝ่ายเราบอกท่านว่าท่านคือเปโตร {ภาษากรีกว่า เปโตร} และบนศิลานี้ {ภาษากรีกว่า เปตรา} เราจะสร้างคริสตจักรของเราไว้ และพลังแห่งความตายจะมีชัยต่อคริสตจักรนั้น หามิได้“ (มัทธิว 16:18)
พระเยซูตรัสว่าจะสร้างคริสตจักร และทุกวันนี้พระองค์ก็ยังทรงสร้างอยู่
เราเป็นส่วนหนึ่ง เป็นผลงานในการสร้างคริสตจักรของพระเยซูคริสต์ พระเจ้าทรงกำหนดให้เราแต่ละคนแตกต่างกัน มีของประทานต่าง ๆ กัน เพื่อที่จะร่วมกันเสริมสร้างคริสตจักร
เราทุกคนจะต้องเต็มที่ ในบริบทที่ว่า เราจะขาดคนใดคนหนึ่งไม่ได้ คุณสำคัญ ผมสำคัญ ถ้าขาดคนใดคนหนึ่งจะไปไม่รอด นี่แหละที่จะเป็นท่าที่ที่เราจะปกป้องกันและกัน
ผู้นำ ล้วนมีอารมณ์ มีความรู้สึก อาจมีนิสัยที่บางคนไม่ชอบ บางครั้งอาจทำให้มีการกีดกัน เกิดความขัดแย้ง นี่ไม่ใช่ท่าทีที่ถูกต้อง
ความเป็นผู้ใหญ่ในพระคัมภีร์ มีลักษณะดังนี้
- เราเกิดมาแล้วเราจะต้องพึ่งพาคนอื่น
- พึ่งพาตัวเอง
- พึ่งพาซึ่งกันและกัน
ความเป็นผุ้ใหญ่ที่แท้จริง คือ การพึ่งพาซึ่งกันและกัน เพราะการพึ่งพาตัวเอง ไม่ได้บ่งบอกถึงความเป็นผู้ใหญ่ที่ชัดเจน
คริสตจักรเปรียบเหมือนร่างกาย จะต้องประกอบด้วยอวัยวะต่าง ๆ ซึ่งต่างจะต้องพึ่งพาซึ่งกันและกัน
พวกเรามีความจำกัด ภายใต้ความจำกัดเราจะต้องยอมรับ เพื่อที่เราเรียนรู้ที่จะพึ่งพาซึ่งกันและกัน เห็นคุณค่าของคนอื่น ๆ ถ้าหากเราไม่เห็นคุณค่าของกันและกัน เราเอาแต่พึ่งพาตัวเอง คริสตจักรก็จะไม่สามารถเติบโตไปได้อย่างดี
ดังนั้น ถ้าหากคริสเตียนและคริสตจักรสามารถรวมตัวกันได้ ความหยิ่งหายไป ความคิดถึงซึ่งกันและกันมีมากขึ้น นี่จึงจะทำให้คริสตจักรไทยสามารถขับเคลื่อนไปได้
3. คริสตจักรเป็นชุมชน
3.1 ในสมัยพระคัมภีร์เดิม
“5 เหตุฉะนี้ ถ้าเจ้าฟังเสียงเรา และรักษาพันธสัญญาของเราไว้ เจ้าจะเป็นกรรมสิทธิ์ของเราที่เราเลือกสรรจากท่ามกลางชนชาติทั้งปวง เพราะแผ่นดินทั้งสิ้นเป็นของเรา
6 เจ้าทั้งหลายจะเป็นอาณาจักรปุโรหิต และเป็นชนชาติบริสุทธิ์สำหรับเรา นี่เป็นถ้อยคำที่เจ้าต้องบอกให้คนอิสราเอลฟัง” (อพยพ 19:5-6)
พระเจ้าเรียกคนกลุ่มหนึ่งออกมา ตั้งให้เป็นชนชาติบริสุทธิ์ เป็นอาณาจักรบริสุทธิ์
“9 แต่ท่านทั้งหลายเป็นชาติที่พระองค์ทรงเลือกไว้แล้ว เป็นพวกปุโรหิตหลวง เป็นประชาชาติบริสุทธิ์ เป็นชนชาติของพระเจ้าโดยเฉพาะ เพื่อให้ท่านทั้งหลายประกาศพระบารมีของพระองค์ ผู้ได้ทรงเรียกท่านทั้งหลาย ให้ออกมาจากความมืด เข้าไปสู่ความสว่างอันมหัศจรรย์ของพระองค์
10 เมื่อก่อนท่านทั้งหลายไม่มีชาติ แต่บัดนี้ท่านเป็นชนชาติของพระเจ้าแล้ว เมื่อก่อนท่านทั้งหลายหาได้รับพระกรุณาไม่ แต่บัดนี้ท่านได้รับพระกรุณาแล้ว” (1เปโตร 2:9-10)
ในปัจจุบันนี้ พระองค์ทรงเลือกพวกเรา ในบริบทเดียวกันกับในพระคัมภีร์เดิม เพื่อเราจะเป็นชุมชน เป็นปุโรหิตหลวง เป็นชนชาติบริสุทธิ์
คนที่เป็นคริสเตียน ไม่มีสันโดษ เพราะเมื่อเราเป็นชุมชนของพระเจ้า เราจะต้องเปิดโอกาสให้ผู้อื่นมายุ่งเกี่ยว โดยเฉพาะต้องยอมให้ผู้อื่นตักเตือนว่ากล่าวได้ เราต้องมีท่าทีที่ถูกต้องในการรับใช้พระเจ้า และเมื่อท่าทีถูกต้องแล้ว เราจะต้องก้าวไปอย่างเต็มที่
3.2 ในสมัยพระคัมภีร์ใหม่
“14 พระองค์จึงทรงตั้งศิษย์สิบสองคนไว้ให้อยู่กับพระองค์ เพื่อจะทรงใช้เขาไปประกาศ
15 และให้มีอำนาจขับผีออกได้” (มาระโก 3:14-15)
พระองค์เริ่มต้นด้วยชุมชนเล็ก ๆ คือ เพียง 12 คน พระองค์มิได้ทรงเลือกเพียงแค่คนเดียว แต่ทรงเรียกมาหนึ่งกลุ่ม นี่จึงเป็นการยืนยันชัดเจนว่าพระเจ้ามิได้มีแผนการที่จะใช้คนใดคนหนึ่งให้เป็นฮีโร่
ชนชาติของพระเจ้า จะต้องโฮลี่ (บริสุทธิ์) แต่ไม่มีฮีโร่ เพราะเราจะต้องรับใช้โดยทั้งชุมชน มิใช่เพียงคนใดคนหนึ่ง
3.3 ในสมัยพระวิญญาณบริสุทธิ์
“42 เขาทั้งหลายได้ขะมักเขม้นฟังคำสอนของจำพวกอัครทูต และร่วมสามัคคีธรรม ทั้งขะมักเขม้นในการหักขนมปัง และการอธิษฐาน
43 เขามีความเกรงกลัวด้วยกันทุกคน และพวกอัครทูตทำการอัศจรรย์ และหมายสำคัญหลายประการ
44 บรรดาผู้ที่เชื่อถือนั้นก็พร้อมกัน ณ ที่แห่งเดียว และทรัพย์สิ่งของของเขาเหล่านั้น เขาเอามารวมกันเป็นของกลาง
45 เขาจึงได้ขายที่ดิน และทรัพย์สิ่งของ มาแบ่งให้แก่คนทั้งปวงตามซึ่งทุกคนต้องการ
46 เขาได้ร่วมใจกันไปในพระวิหาร และหักขนมปังตามบ้านของเขา ร่วมรับประทานอาหารด้วยความชื่นชมยินดี และใจกว้างขวาง ทุกวันเรื่อยไป
47 ทั้งได้สรรเสริญพระเจ้า และคนทั้งปวงก็ชอบใจ ฝ่ายองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงโปรดให้คนทั้งหลายซึ่งกำลังจะรอด มาเข้ากับพวกสาวกทุกวันๆ” (กิจการ 1:42-47)
การที่มีผู้ที่เข้ามาเพิ่มขึ้นทุก ๆ วัน เป็นเพราะพวกเขาเคลื่อนไหวกันทั้งชุมชน จนมีผู้คนที่มาสมทบเพิ่มขึ้น ๆ
การฟื้นฟูจริง ๆ มาจากชุมชนทั้งชุมชน แม้แต่ที่อันทิโอกก็เกิดการฟื้นฟู โดยมิได้เกิดจากนักฟื้นฟูผู้ใด
“ในชุมชนของพระเจ้านี้ ประกอบด้วยคนของพระเจ้าที่เป็นปัจเจกชน คือ คริสเตียนแต่ละคนและทุกคนจะมีความสำคัญต่อชุมชนเท่ากัน ขาดไป 1 คน ชุมชนก็อ่อนแอไป 1 คน
พระเยซูทรงเรียกสาวกทีละคน แล้วรวมตัวสาวกเหล่านั้นเป็นกลุ่มคน และสร้างพวกเขาให้เป็นชุมชนเดียวกัน ความบาปเป็นตัวทำลายชุมชนของพระเจ้าตั้งแต่ ปฐมกาล เช่น บาปของอาดัม บาปของคาอิน เป็นต้น ในสมัยของโยชูวา ความบาปของอาคานเพียงคนเดียว มีผลกระทบต่อคนในชุมชนของพระเจ้าทั้งหมด เพราะฉะนั้น อย่าปลีกตัวอยู่คนเดียว พระเจ้าไม่ได้สร้างคริสเตียนสันโดษ แต่พระองค์ทรงสร้างคริสตจักรของพระองค์
พระเจ้าทรงสร้างคริสตจักรของพระองค์ขึ้น เพื่อสะท้อนให้มวลมนุษย์ได้เห็นพระลักษณะของพระเจ้า เช่นชุมชนของพระเจ้าที่เปี่ยมไปด้วยความรัก จะสะท้อนพระลักษณะของพระเจ้าที่เป็นความรัก ดังนั้น สาวกแต่ละคนจึงไม่ใช่เพียงแค่ทำหน้าที่ของตนตามที่ได้รับมอบหมายอย่างดีที่สุดตามลำพัง แต่ต้องเกี่ยวดองกับสาวกคนอื่น ๆ ในชุมชนของพระเจ้านี้อย่างใกล้ชิดอีกด้วย
คริสตจักรของพระเจ้าที่แท้จริงต้องรับใช้พระเจ้าอย่างเต็มท่าที ทั้งด้านการสะท้อนพระลักษณะของพระคริสต์ต่อชนชาวโลกอย่างมีประสิทธิภาพ และทำตามพระมหาบัญชาของพระองค์ตามของประทาน (ทั้งคริสตจักร ไม่ใช่คนใดคนหนึ่ง ที่ผ่านมามักจะได้แก่ศิษยาภิบาล หรือผู้นำกลุ่มต่าง ๆ เป็นต้น)“
การรับใช้พระเจ้า จะต้องเป็น network ทั้งภายในคริสตจักร และระหว่างคริสตจักร และเมื่อร่วมกันเคลื่อนไหวพร้อม ๆ กัน ก็จะเกิดการฟื้นฟูได้
การเริ่มต้นการรับใช้พระเจ้า เริ่มต้นที่คริสตจักรท้องถิ่น แต่ขั้นต่อมา จะต้องก้าวไปถึงคำว่า “แผ่นดินของพระเจ้า” ดังนั้น อย่าใจแคบ ที่จะไม่ยอมให้สมาชิกในคริสตจักรไปนมัสการที่คริสตจักรอื่น ๆ แต่ให้เราที่จะเปิดใจ และเราจะสามารถร่วมกันรับใช้อย่างเต็มท่าที
II.บทบาทและภาระกิจของคนในชุมชนของพระเจ้าแต่ละคน
1. ปุโรหิต
“แต่ท่านทั้งหลายเป็นชาติที่พระองค์ทรงเลือกไว้แล้ว เป็นพวกปุโรหิตหลวง เป็นประชาชาติบริสุทธิ์ เป็นชนชาติของพระเจ้าโดยเฉพาะ เพื่อให้ท่านทั้งหลายประกาศพระบารมีของพระองค์ ผู้ได้ทรงเรียกท่านทั้งหลาย ให้ออกมาจากความมืด เข้าไปสู่ความสว่างอันมหัศจรรย์ของพระองค์” (1เปโตร 2:9)
ปุโรหิต มีบทบาทคือ ยืนอยู่ตรงกลางระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า
บทบาท คือ นำเอาความโปรดปรานของพระเจ้ามาให้แก่มนุษย์ นำมนุษย์กลับมาหาพระเจ้า ให้คืนดีกับพระเจ้า
เราจะต้องรับใช้ด้วยบทบาทที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ให้
Without God you cannot,
Without you He will not.
ถ้าหากไม่มีเรา พระเจ้าจะไม่ทรงทำ เพราะนี่เป็นบทบาทที่พระเจ้าทรงกำหนดให้เราทำ
2. ผู้เผยพระวจนะ
“แต่ท่านทั้งหลายจะได้รับพระราชทานฤทธิ์เดช เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จมาเหนือท่าน และท่านทั้งหลายจะเป็นพยานฝ่ายเราในกรุงเยรูซาเล็ม ทั่วแคว้นยูเดีย แคว้นสะมาเรีย และจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก“ (กิจการ 1:8)
นี่คือบทบาทของเรา ที่เราจะเป็นผู้เผยพระวจนะ คือ ผู้ที่จะพูดถึงเรื่องข่าวประเสริฐ เป็นพยานฝ่ายพระองค์
เราสามารถเป็นพยานฝ่ายพระองค์ไปจนสุดปลายแผ่นดินโลกได้ แม้ว่าจะยังไม่ได้รับพระราชทานฤทธิ์เดชได้ ดังเช่นที่เหล่าอัครสาวกของพระเยซู ได้เห็นถึงพระราชกิจของพระเยซูมากมาย เขาก็สามารถที่จะเป็นพยานถึงเรื่องราวของพระองค์ได้
แต่ที่พระองค์ทรงบอกว่าเราจะได้รับพระราชทานฤทธิ์เดช เหตุเพราะพระองค์ทรงมีพระประสงค์ให้การประกาศข่าวประเสริฐ การเป็นพยานเหล่านั้น เกิดผล ไม่ใช่เป็นพยานเฉย ๆ
เมื่อเรารับฤทธิ์เดชแล้ว เมื่อเราเดินทางไปประกาศที่ใด เป็นพยานที่ใด ก็จะเกิดผลอย่างมากมาย ผู้ฟังก็จะเชื่อ ไม่ใช่เชื่อเพราะคำพยาน แต่เชื่อพระฤทธิ์เดชโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์
“1 คราวนั้นเกิดการข่มเหงคริสตจักรครั้งใหญ่ในกรุงเยรูซาเล็ม และศิษย์ทั้งปวงนอกจากพวกอัครทูต ได้กระจัดกระจายไปทั่วแว่นแคว้นยูเดีย กับสะมาเรีย
2 ผู้ที่เกรงกลัวพระเจ้าก็ฝังศพสเทเฟนไว้ แล้วคร่ำครวญอาลัยถึงท่านอย่างยิ่ง” (กิจการ 8:1-2)
บางครั้ง การข่มเหงเกิดขึ้น เพื่อที่จะทำให้ข่าวประเสริฐได้แผ่ขยายออกไป ดังตัวอย่างในกิจการ เห็นได้ว่า เมื่อมีการข่มเหง ศิษย์ก็จะถูกกระจัดกระจาย ทำให้ข่าวประเสริฐได้ไปเกิดผลในที่่อื่น ๆ
3. ทูตของพระคริสต์ (2โครินธ์ 5)
“17 เหตุฉะนั้น ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆ ก็ล่วงไป นี่แน่ะ กลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น
18 ทั้งสิ้นนี้เกิดมาจากพระเจ้า ผู้ทรงให้เราคืนดีกันกับพระองค์ทางพระเยซูคริสต์ และทรงโปรดประทานให้เรามีพันธกิจเรื่องการคืนดีกัน
19 คือพระเจ้าทรงให้โลกนี้คืนดีกันกับพระองค์โดยพระคริสต์ มิได้ทรงถือโทษในการผิดของเขา และทรงมอบเรื่องการคืนดีกันนั้นให้เราประกาศ” (2โครินธ์ 5:17-19)
เราเป็นทูตของพระคริสต์ นี่เป็นเกียรติอย่างมาก เพราะว่า เราเป็นตัวแทนของพระเยซูคริสต์ เราได้รับสิทธิอำนาจจากพระเยซูคริสต์
วันที่พระเยซูคริสต์ทรงเรียกเปโตรให้รับใช้พระเจ้าเต็มตัว พระองค์ทรงกล่าวว่า “อย่ากลัวเลย” แปลว่า พระองค์จะทรงเสริมความสามารถให้แก่เราในการรับใช้ และพระองค์จะนำพาให้เราพบความสำเร็จ
4 เกลือและแสงสว่าง
“13 ท่านทั้งหลาย เป็นเกลือแห่งโลก ถ้าเกลือนั้นหมดรสเค็มไปแล้ว จะทำให้กลับเค็มอีกอย่างไรได้ แต่นั้นไปก็ไม่เป็นประโยชน์อะไร มีแต่จะทิ้งเสียสำหรับคนเหยียบย่ำ
14 ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก นครซึ่งอยู่บนภูเขาจะปิดบังไว้ไม่ได้
15 เมื่อจุดตะเกียงแล้ว ไม่มีผู้ใดเอาถังครอบไว้ ย่อมตั้งไว้บนเชิงตะเกียง จะได้ส่องสว่างแก่ทุกคนที่อยู่ในเรือนนั้น
16 ท่านทั้งหลายก็เหมือนกับตะเกียง จงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีที่ท่านทำ เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่าน ผู้ทรงอยู่ในสวรรค์” (มัทธิว 5:13-15)
สังเกตว่า พระองค์ทรงใช้คำว่า “ท่านทั้งหลาย” เพราะว่าพระองค์มีพระประสงค์ที่จะให้เราทำร่วมกันหลายคน
เกลือ และแสงสว่าง มีอิทธิพลอย่างมาก จึงมีคำถามว่า ทำไมชุมชนในประเทศไทย อยู่ในความมืด ไม่ได้พบกับความสว่าง? เป็นเพราะว่าคริสเตียนมิได้กระทำตัวเป็นเกลือและแสงสว่างหรือไม่?
ขอเน้นว่า สิ่งที่เราทำดี ขออย่าที่จะให้คนมาสรรเสริญเรา แต่ให้คนสรรเสริญพระเจ้า ดังนั้น ถ้าเราต้องการให้คนสรรเสริญพระเจ้า เราจะต้องทำความดีในสังคมที่มิได้เป็นคริสเตียนด้วยสติปัญญา นี่เป็นบทบาทของเรา เพื่อให้คนได้เห็นถึงเกลือและแสงสว่าง
5. สร้างสาวก
“19 เหตุฉะนั้น เจ้าทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ ให้เป็นสาวกของเรา ให้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์
20 สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดซึ่งเราได้สั่งพวกเจ้าไว้ นี่แหละเราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค” (มัทธิว 28:19-20)
พระเยซูคริสต์เรียกเราให้ไปสร้างสาวก และสร้างจากคนที่มิได้เป็นคริสเตียน
III.ความผิดพลาดของคริสตจักรในอดีต
การเปลี่ยนแปลง ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเราเอง
พวกเราอยู่ในปัจจุบัน พวกเราคือพลังของคริสตจักรในปัจจุบัน เราจะต้องเคลื่อนไหว ขอพระเจ้าช่วยเราที่ทุกครั้งที่เราเคลื่อนไหว จะมีการเคลื่อนที่เกิดขึ้น เป็นการเคลื่อนไปข้างหน้า
พระเจ้าไม่ได้เรียกร้องให้เราเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เพียงแค่ทีละก้าวก็เพียงพอแล้ว แต่อย่าซอยเท้าอยู่กับที่
สิ่งที่เป็นข้อบกพร่องในอดีต ก็ปล่อยให้มันผ่านไป แต่อย่าให้เกิดขึ้นอีก
1. แยกเรื่องการสร้างสาวกออกจากการประกาศ
“19 เหตุฉะนั้น เจ้าทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ ให้เป็นสาวกของเรา ให้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์
20 สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดซึ่งเราได้สั่งพวกเจ้าไว้ นี่แหละเราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค” (มัทธิว 28:19-20)
การสร้างสาวก และการประกาศ เดิมมักจะแบ่งออกเป็น การประกาศ กระทำนอกคริสตจักร กระทำกับคนที่ไม่เป็นคริสเตียน แต่การสร้างสาวกกระทำในคริสตจักร กระทำกับคนที่เป็นคริสเตียน นี่เป็นข้อผิดพลาด
จากพระมหาบัญชาของพระองค์ ทรงให้เราสั่งสอนชนทุกชาติ ที่ตอนนั้นยังไม่เป็นสาวก ยังไม่เป็นคริสเตียน ให้เป็นสาวกของพระเยซูคริสต์ สอนให้เป็นสาวก ดังนั้น เราจึงไม่ควรแยกออกจากกัน
การแยกการประกาศและการสร้างสาวกออกจากกัน ทำให้การประกาศมีปัญหา ซึ่งปัญหาหนึ่ง คือ การติดตามผล เพราะมีการประกาศ เมื่อการประกาศสิ้นสุด คนที่รับเชื่อเหล่านั้นก็หายไป เพราะไม่มีใครติดตามผล นี่คือปัญหาที่เกิดขึ้น ตอนนี้ก็ยังไม่มีทางแก้ไขปัญหานี้
การสร้างสาวกไม่ใช่งานครั้งเดียวจบ แต่เป็นกระบวนการของความสัมพันธ์
เริ่มต้นคนที่ยังไม่เป็นคริสเตียน ก็อาจจะยังไม่พร้อมสำหรับคำสอนบางประการ แต่เมื่อเรามีความสัมพันธ์ที่ดี เมื่อถึงเวลา เราก็จะสามารถที่จะให้เขากระทำตามได้
การสร้างสาวกและการประกาศเป็นเรื่องเดียวกัน และเป็นไปด้วยสายสัมพันธ์
การประกาศด้วยเวทีใหญ่ ๆ อาจมีผู้รับเชื่อมากมาย แต่เมื่องานจบ ผู้คนก็มักจะหายไป เพราะว่าไม่มีการติดตามผล แต่ถ้าหากการประกาศเรากระทำโดยการสร้างสายสัมพันธ์ จะเป็นสิ่งที่ยั่งยืน
คริสเตียนส่วนใหญ่ มักจะชอบหว่านข่าวประเสริฐ แต่ไม่คิดที่จะเก็บเกี่ยว ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง เพราะคงจะไม่มีผู้ใดที่หว่านพืช แล้วจะไม่เก็บเกี่ยวผล และคริสเตียนได้มีการหว่าน มีการลงทุนในการหว่านมากมาย แต่กลับมีการเก็บเกี่ยวน้อยมาก
2. ยกเรื่องการประกาศและการสร้างสาวกไปที่ผู้รับใช้เต็มเวลา
ผลที่เกิดขึ้นจากความผิดพลาดนี้ คือ
- ส่งผลให้ผู้รับใช้มีจำนวนไม่พอสำหรับงานรับใช้ ทำให้ผู้รับใช้งานหนักมาก และสุขภาพไม่ดี ตายทั้งฝ่ายร่างกาย และจิตวิญญาณ
- ทำให้งานในคริสตจักรไม่เกิดผลเท่าที่ควร
รถปกติมีลูกสูบอยู่ 4 สูบ และจะทำงานร่วมกัน ถ้าหากให้ทำงานเพียงทีละสูบ ก็คงจะไม่ไหว
3. โยงเรื่องการประกาศและการสร้างสาวกเข้ากับของประทาน
ส่งผลให้สมาชิกไม่มีใจในการประกาศ เพราะว่ามักอ้างว่า “ไม่มีของประทาน“
ส่วนคนที่มีของประทานในบางสิ่งบางอย่าง ก็จะทำสิ่งนั้นอย่างเดียว โดยอ้างว่ามีของประทานในสิ่งนั้น
แต่พระคัมภีร์มิได้พูดเช่นนั้น ทุกคนต้องสร้างสาวก นี่เป็นการรับใช้พระเจ้าเต็มท่าที ทั้งท่าทีตามของประทาน และท่าทีในการสร้างสาวก และ “การสร้างสาวก ไม่ต้องใช้ของประทาน”
ดังเช่นที่ พ่อแม่จะอ้างว่าไม่มีของประทานในการเลี้ยงเด็ก แล้วไม่ยอมเลี้ยงเด็ก ก็คงจะไม่ถูกต้อง ขอบคุณพระเจ้า ที่ถึงแม้พ่อแม่จะไม่มีของประทานในการเลี้ยงลูก ก็ยังเลี้ยงเราโตขึ้นมาได้
สิ่งที่อยากฝากเราไว้ก็คือ อย่าให้ผู้รับใช้ของพระเจ้าต้องทำงานทุกอย่างในคริสตจักร แต่ขอที่เราทุกคนจะช่วยกัน อย่าให้สมาชิกต้องนั่งเฉย ๆ แต่ช่วยกันรับใช้
ขอบคุณข้อมูลจาก http://bit.ly/2qsFmw7
อ. ประยูร ลิมะหุตะเศรณี
Workshop C, Youth Challenge 2009
เมื่อวันที่ 04/04/2009
เรื่อง รับใช้เต็มท่าที
สรุปโดย ธีรยสถ์ นิมมานนท์