ก้าวที่ 31 ลก8:11-15 ลักษณะชีวิตคริสเตียนที่ดำเนินชีวิต “ตามพระวจนะของพระคริสต์”
ลักษณะชีวิตผู้ที่ตอบสนองพระวจนะ ลก8:11-15 มีทั้งหมด 5 ตอน
ก้าวที่ 29 ดำเนินชีวิตที่เป็นพระพร(เป็นประโยชน์)
ก้าวที่ 30 อย่าดำเนินชีวิตที่ไม่ตอบสนองพระวจนะ
ก้าวที่ 31 อย่าดำเนินชีวิตตามโลก
ก้าวที่ 32 อย่าดำเนินชีวิตไม่ผ่านการทดสอบทดลอง
ก้าวที่ 33 ดำเนินชีวิตตามที่ได้เรียนรู้เรื่องแผ่นดินของพระเจ้า
เขียนโดย อ.กิจขจร ลิ่วเฉลิมวงศ์ วันที่ 9 เม.ษ.2020
ตอนที่ 4 อย่าดำเนินชีวิตไม่ผ่านการทดสอบทดลอง
1.ลักษณะการทดสอบทดลอง (13ก)
2.ผลร้ายหากไม่ผ่านการทดสอบทดลอง (13ข)
พระเยซูทรงอธิบายอุปมาเรื่อง ผู้หว่านเมล็ดพืช (มธ.13:18-23;มก.4:13-20)
11“อุปมานั้นหมายถึงอย่างนี้ เมล็ดพืชหมายถึงพระวจนะของพระเจ้า
12ที่ตกตามหนทางหมายถึงคนเหล่านั้นที่ได้ยินแล้ว มารมาชิงเอาพระวจนะไปจากใจของเขาเพื่อไม่ให้เขาเชื่อและรับความรอด
13ที่ตกบนหินหมายถึงคนเหล่านั้นที่ได้ยินแล้วก็รับพระวจนะนั้นด้วยความยินดี แต่ไม่มีราก เชื่อได้เพียงชั่วคราว เมื่อถูกทดลองก็หลงไป
(มธ13:20-21 และเมล็ดพืชซึ่งหว่านตกในที่ดินซึ่งมีพื้นหินนั้น ได้แก่บุคคลที่ได้ยินพระวจนะ แล้วก็รับทันทีด้วยความยินดี 21แต่ไม่มีรากลึกในตัวจึงทนอยู่ชั่วคราว และเมื่อเกิดการยากลำบาก หรือการข่มเหงต่างๆ เพราะพระวจนะนั้น เขาก็เลิกเสียในทันทีทันใด)
(มก4:16-17ส่วนที่ตกลงไปในพื้นหินนั้น ได้แก่คนที่ได้ยินพระวจนะ แล้วก็รับทันทีด้วยความยินดี 17แต่ไม่ได้หยั่งรากลงในตัวจึงทนอยู่เพียงชั่วคราว เมื่อเกิดการยากลำบากหรือการข่มเหงเพราะพระวจนะนั้น พวกเขาก็เลิกเสียทันที)
14ที่ตกกลางหนามหมายถึงคนเหล่านั้นที่ได้ยินแล้ว และขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่ ความกังวลทรัพย์สมบัติ และความสนุกสนานของชีวิตนี้ ก็รัดพวกเขาจนทำให้ผลไม่เติบโต
15ที่ตกในดินดีหมายถึงคนเหล่านั้นที่ได้ยินพระวจนะแล้วจดจำไว้ด้วยใจที่ซื่อสัตย์ดีงาม จึงเกิดผลโดยความทรหดอดทน
เบื้องหลังของพระธรรมตอนนี้ เป็นคำสอนเกี่ยวข้องกับเรื่องแผ่นดินสวรรค์ พระองค์สอนบนเรือที่ทะเลสาบกาลิลี โดยสอนเป็นคำอุปมา
มธ13:1-2ในวันนั้นพระเยซูเสด็จจากบ้านไปประทับที่ชายทะเลสาบ
2มีมหาชนมาหาพระองค์ พระองค์จึงเสด็จลงไปประทับในเรือ และฝูงชนทั้งหมดก็ยืนอยู่บนฝั่ง
ผู้ฟังในเวลานั้นมีมหาชน ประชาชนทั่วไป และพวกสาวก เนื้อหาเป็นเรื่องแผ่นดินสวรรค์ของพระเจ้า โดยพระเยซูคริสต์อธิบายคำอุปมาให้สาวกเข้าใจ แสดงว่าพระเยซูคริสต์อธิบายให้คนที่เชื่อพระองค์แล้วเข้าใจ แต่ผู้ที่ฟังอุปมาแล้วไม่เข้าใจในคำสอนของพระเยซูคริสต์ พวกเขาไม่สามารถดำเนินชีวิตอย่างถูกต้องได้
ผู้ที่ฟังแล้วไม่เข้าใจก็เหมือนคนที่ไม่เชื่อ หากคนที่ฟังไม่ว่าจะเป็นคนเชื่อหรือไม่เชื่อหากพวกเขาไม่เข้าใจคำอุปมานี้แล้ว พวกเขาก็ไม่สามารถดำเนินชีวิตตามอุปมานี้ จนเกิดผลตามที่พระเยซูคริสต์คาดหวังได้
คำเทศนาตอนนี้ เน้นเรื่องลักษณะชีวิตคริสเตียนที่ดำเนินชีวิต “ตามพระวจนะของพระคริสต์” ยังคงเกี่ยวข้องกับเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า ผู้เชื่อควรมีลักษณะชีวิตอย่างไรในเรื่องผู้เป็นสุข มธ5:3-12 ไปแล้ว ผู้เชื่อยังต้องดำเนินชีวิตตอบสนองพระวจนะของพระคริสต์ด้วย
ที่นำลก8:11-15 เป็นตอนเทศนาหลัก เนื่องจากการดูภาษาเดิมพบว่า มธ13:23 และมก4:20 ใช้รูปการเขียน ทั้งประโยคไวยากรณ์แทบจะเหมือนกันเลย ดูเหมือนทั้งสองเล่มจะมีแหล่งอ้างอิงการเขียนจากแหล่งเดียวกัน แต่ลูกาบทที่8 มีความแตกต่างจากมัทธิว และมาระโก ดังนั้นเพื่อให้เกิดประโยชน์ในการเทศนาสูงสุดจึงเลือกลูกา เพื่อนำมาเปรียบเทียบกับมัทธิว และมาระโก
ผลที่พระเยซูคริสต์คาดหวังเมื่อสาวกได้ยิน ได้ฟัง ได้เข้าใจพระวจนะ คือ การที่พวกเขาไปเกิดผล แต่ในลก8:11-12 ตอนที่ 4 นี้เป็นเรื่องตรงกันข้ามกับการคาดหวังของพระเยซูคริสต์เลย คือ ผู้ฟังไม่เชื่อพระเจ้าในท้ายที่สุด พวกเขาหลงไป พวกเขาเลิกเสีย
จากพระคัมภีร์ 3 ตอนที่เราได้อ่านไปแล้วในตอนต้น ลูกาบอกว่าพระวจนะตกบนหินแต่ไม่มีรากเมื่อถูกทดลองก็หลงไป , มัทธิว:บอกว่าพระวจนะตกในดินซึ่งมีพื้นหินแต่ไม่มีรากลึก เมื่อเกิดการยากลำบาก หรือการข่มเหงต่างๆ เพราะพระวจนะนั้น เขาก็เลิก แต่มาระโกบอกว่าพระวจนะตกพื้นหินแต่ไม่ได้หยั่งรากลง เกิดการยากลำบากหรือการข่มเหงเพราะพระวจนะนั้น พวกเขาก็เลิกเสียทันที
“พระวจนะ” ทั้งสามตอนใช้รากศัพท์อันเดียวกัน GK3056:logos(n) อ่านว่า (log’-os) ในตอนนี้ เป็นหลักคำสอนเกี่ยวกับความสำเร็จผ่านทางพระเยซูคริสต์แห่งความรอดของอาณาจักรของพระเจ้า
Maclaren เมล็ดอย่างเดียวกันแต่ตกตามดินสี่ชนิดที่แตกต่างกัน ผู้หว่านในสมัยนั้นไม่ได้ตั้งใจที่จะหว่านเมล็ดในดินที่ไม่สามารถเกิดผลได้อย่างแน่นอนอยู่แล้ว
ลก8:13, มธ13:20-21 , มก4:16-17 พระวจนะตกในดินที่มีหินหรือพื้นหิน ทั้งสามตอนใช้รากศัพท์ “หิน”ใกล้เคียงกัน GK4073,4075 หมายความว่า หินแข็ง หรือหินตามธรรมชาติ เกิดขึ้นจากการงอกของแผ่นดินโลก เป็นก้อนหินหรือหินขนาดใหญ่ หรือเหมือนหน้าผาที่ยื่นออกมา
ซึ่งในตอนนี้ “หิน”เป็นอุปสรรคในการเติบโตของพืชเพราะเมล็ดพืชไม่สามารถหยั่งรากลึกลงไปในดินได้ ทำให้รากไม่สามารถลำเรียงอาหาร น้ำ อากาศมาเลี้ยงลำต้นให้เติบโตและเกิดผลได้ เปรียบเหมือนผู้เชื่อหากไม่สัมพันธ์สนิทกับพระเจ้า เขาจะไม่เติบโต เมื่อเจออุปสรรคขัดขวางเขาจะเลิกเชื่อพระเจ้า แต่การทดสอบทดลองเป็นส่ิงจำเป็นสำหรับความเชื่อในพระเจ้า
1ปต1:6-7ในสิ่งนี้พวกท่านชื่นชมยินดี ถึงแม้ว่าเดี๋ยวนี้ จำเป็นที่พวกท่านต้องทนทุกข์ในการทดลองต่างๆ นานาชั่วระยะหนึ่ง 7เพื่อการทดสอบความเชื่อของพวกท่าน (อันล้ำค่ายิ่งกว่าทองคำ ที่แม้ว่าจะเสื่อมสลายไปได้ก็ยังถูกทดสอบด้วยไฟ) จะนำไปสู่การสรรเสริญ ศักดิ์ศรี และเกียรติ ในเวลาที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จมาปรากฏ
เราสามารถเรียนรู้คำอุปมาเรื่องพระวจนะที่ตกลงบนพื้นหินนี้เปรียบเหมือนอุปสรรค เหมือนการทดสอบทดลองอย่างไร และผลลัพทธ์คืออะไรในเนื้อหาคำเทศนามากขึ้น วันนี้เราจึงมาเรียนรู้เรื่องนี้ ผ่านหัวข้อคำเทศนา
ลก8:11-15 ลักษณะชีวิตคริสเตียนที่ดำเนินชีวิต
“ตามพระวจนะของพระคริสต์” มีทั้งหมด 5 ตอน
ตอนที่ 4 อย่าดำเนินชีวิตไม่ผ่านการทดสอบทดลอง
1.ลักษณะการทดสอบทดลอง (13ก)
ลก8:13ที่ตกบนหินหมายถึงคนเหล่านั้นที่ได้ยินแล้วก็รับพระวจนะนั้นด้วยความยินดี แต่ไม่มีราก เชื่อได้เพียงชั่วคราว เมื่อถูกทดลองก็หลงไป GK3986 : peirasmos(n) อ่านว่า (pi-ras-mos’) ทั่วไปหมายถึง การทดสอบ การพิสูจน์ การทดลอง การทรมาน การล่อลวง ความสูญเสีย ความลำบาก เดือดร้อน ความทุกข์ โรคภัย ความบีบคั้น ความเจ็บปวดรวดร้าว
ตีความโดยขึ้นอยู่กับบริบท การทดสอบเป็นความหมายเชิงแง่บวก การทดลองเป็นความหมายเชิงแง่ลบ
ลก8:13 “ทดลอง” หมายถึง โดยเฉพาะการทดลองเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตของมนุษย์ ความมั่นคงของคุณธรรม ความซื่อตรง ความมีจริยธรรม สิ่งล่อลวงใจต่อบาป การล่อลวงไม่ว่าจะเกิดจากความปรารถนาหรือจากสถานการณ์ภายนอก
การตอบสนองเมื่อเจอการทดสอบทดลอง คือ อย่าแปลกใจ มีทางออก
1ปต4:12 ท่านที่รักทั้งหลาย อย่าแปลกใจกับความทุกข์ยากแสนสาหัสที่กำลังเกิดขึ้นกับพวกท่าน เพื่อทดสอบพวกท่านนั้น ราวกับว่าสิ่งประหลาดเกิดกับพวกท่าน
1คร10:13ไม่มีการทดลองใดๆ เกิดขึ้นกับท่านทั้งหลาย นอกเหนือการทดลองซึ่งเคยเกิดกับมนุษย์ พระเจ้าทรงซื่อสัตย์ พระองค์จะไม่ทรงให้พวกท่านต้องถูกทดลองเกินกว่าที่ท่านจะทนได้ และเมื่อถูกทดลอง พระองค์จะทรงให้มีทางออกด้วย เพื่อพวกท่านจะมีกำลังทนได้
เพราะจะได้รับผลดี เมื่อผ่านการทดสอบทดลอง
ยก1:12คนที่สู้ทนต่อการทดลองใจก็เป็นสุข เพราะเมื่อเขาผ่านการทดสอบแล้ว เขาจะได้รับมงกุฎแห่งชีวิตที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้กับคนทั้งหลายที่รักพระองค์
บริบทลก8:13 เน้นไปที่ความสัมพันธ์สนิทกับพระเจ้าต้องใช้เวลา ถ้าเมล็ดพืชได้หยั่งรากลึกแล้วคงเติบโตต่อไปได้ แต่สำหรับรากที่ไม่สามารถหยั่งรากผ่านหินได้ ก็คงไม่เติบโตหรือตาย นั่นหมายถึงคนเชื่อหลงไป และเลิกเชื่อพระเจ้าไปในที่สุด มาดูรายละเอียดลักษณะการทดสอบทดลองความเชื่อ
(1.1) เวลาที่เราไม่สัมพันธ์สนิทกับพระเจ้า
ราก ทั้งสามตอน คือ GK4491: rhiza(n) อ่านว่า(hrid’-zah) ทั่วไปหมายถึง ราก,สิ่งที่มาจากราก,เชื้อสายพงศ์พันธุ์,เทือกเถาเหล่ากอ แต่ในตอนนี้ หมายถึง “คนที่มีประสบการณ์กับพระเจ้าเพียงผิวเผิน ไม่ได้ให้พระวจนะ หรือความจริงของพระเจ้าเข้าไปในส่วนที่ลึกที่สุดในจิตวิญญาณของเขา”
“รากที่หยั่งในดินไม่ลึกเพราะมีพื้นหิน คือ อันตรายที่ทำให้ฝ่ายวิญญาณตายอย่างช้าๆ ไม่รู้ตัว และตายในที่สุด การไม่ผ่านการทดสอบ การทดลองเป็นสัญญาณที่ต้องปรับปรุงชีวิตฝ่ายวิญญาณ”
ACTS: ในอีกแง่มุมหนึ่งพระคัมภีร์ทั้งสามตอนบอกว่า พระวจนะได้เข้าไปฝังตัวในดินแล้ว แต่รากไม่สามารถหยั่งลึกลงในดินต่อไปได้ หมายความว่า เมล็ดไม่สามารถเติบโตได้เต็มที่ หรือไม่เกิดผลในที่สุด เพราะไม่สามารถหยั่งรากลึกในดิน เพื่อดูดอาหาร ดูดน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ดูดอากาศ ไปเลี้ยงต้นให้เกิดผลในที่สุด
เปรียบเหมือนคนที่มาเชื่อพระเจ้าไม่ว่าจะเชื่อทันทีเป็นเวลาสั้นๆ หรือเชื่อมานานมากแล้วแต่ทุกครั้งที่เจอการทดสอบ ทดลอง ก็พร้อมจะเลิกเชื่อพระเจ้าในทันที แสดงว่าไม่ได้มีความสัมพันธ์หยั่งลึกกับพระเจ้า ถ้าเป็นคนเชื่อใหม่อาจจะยังไม่บังเกิดใหม่ด้วยซ้ำ เวลาที่เจออุปสรรค การทดสอบ การทดลอง ความยากลำบาก การข่มเหง พวกเขาจะหลงไปและเลิกเชื่อพระเจ้าในที่สุด
แต่ข้อนี้น่าจะเน้นช่วงเวลาเริ่มต้นที่มาเชื่อพระเจ้า แต่ในความเป็นจริงทุกเวลาในทุกครั้งที่เราไม่สัมพันธ์สนิทกับพระเจ้า การทดสอบ การล่อลวงก็จะเกิดขึ้น เพราะเป็นเวลาที่เรามีแนวโน้มหลงไปจากความเชื่อ และจะเลิกเชื่อพระเจ้าในที่สุด เพราะเราห่างไกลจากพระเจ้า
ให้ระมัดระวังด้วยการอธิษฐานกับพระเจ้า
ลก11:4 ขอทรงยกโทษบาปผิดของพวกข้าพระองค์เพราะว่าพวกข้าพระองค์ยกโทษให้กับทุกคนที่เป็นหนี้ข้าพระองค์นั้นและขออย่าทรงนำข้าพระองค์เข้าไปในการทดลอง
มธ26:41ท่านทั้งหลายจงเฝ้าระวังและอธิษฐานเพื่อจะไม่ถูกทดลอง จิตวิญญาณพร้อมแล้วก็จริง แต่กายยังอ่อนกำลัง
เราต้องให้ความสัมพันธ์กับการหยั่งรากลึกในพระเจ้า ในความเชื่อ
อฟ3:17ให้พระคริสต์ประทับในใจของท่านโดยทางความเชื่อ ให้ท่านได้หยั่งรากและตั้งมั่นอยู่ในความรัก
คส2:7 จงหยั่งรากและก่อร่างสร้างขึ้นในพระองค์ จงมั่นคงในความเชื่อตามที่ได้รับการสอนมาแล้ว และจงให้การขอบพระคุณทวียิ่งขึ้น
(1.2) เวลาแห่งความยากลำบาก
(มธ13:21แต่ไม่มีรากลึกในตัวจึงทนอยู่ชั่วคราว และเมื่อเกิดการยากลำบาก หรือการข่มเหงต่างๆ เพราะพระวจนะนั้น เขาก็เลิกเสียในทันทีทันใด)
เกิดการยากลำบาก GK2347. thlipsis (n) อ่านว่า (thlip’-sis) ทั่วไปหมายถึง การกดขี่ข่มเหง ความทุกข์ยาก ความทุกข์ ความลำบาก เกิดจากการกด การกดดัน ความกดดัน เปรียบเทียบเหมือนการกดขี่ข่มเหง ความยากลำบาก ความทุกข์ ความคับแค้น ความเคร่งเครียด
เปาโลอวดความเชื่อของพี่น้องที่เมืองเธสะโลนิกา แม้ยากลำบาก
2ธส1:4 ฉะนั้นเราเองจึงอวดท่านต่อบรรดาคริสตจักรของพระเจ้า ในเรื่องความทรหดอดทน และความเชื่อของท่านในยามที่ถูกข่มเหงนานาประการ และที่ท่านอดทนต่อความยากลำบากนั้น
แต่สำหรับผู้เชื่อพระเจ้าแล้ว เขาอาจจจะรู้สึกดี มีความสุขเมื่อมาเชื่อพระเจ้าในตอนต้น แต่ความเป็นจริงเมื่อเวลาผ่านไปนานขึ้น ผู้เชื่อพบว่าเขายังยากลำบากทางฝ่ายกายภาพเหมือนเดิม ดูเหมือนว่าพระเจ้ายังไม่ช่วยให้ความยากลำบากหมดไป ในที่สุดเขาก็อาจจะเลิกเชื่อพระเจ้าก็ได้
ขอให้ระวังเรื่องนี้แต่ถ้าเขาได้มีความสัมพันธ์สนิทกับพระเจ้า หยั่งรากลึกในพระเจ้าแล้วเขาจะไม่ตัดสินพระเจ้าด้วยเรื่องการอวยพรฝ่ายกายภาพอย่างแน่นอน
(1.3) เวลาแห่งการข่มเหง
(มก4:1717แต่ไม่ได้หยั่งรากลงในตัวจึงทนอยู่เพียงชั่วคราว เมื่อเกิดการยากลำบากหรือการข่มเหงเพราะพระวจนะนั้น พวกเขาก็เลิกเสียทันที)
การข่มเหง GK1375:diógmos(n) อ่านว่า(dee-ogue-mos’) ทั่วไปหมายถึง การไล่ล่า เหมือนการล่าสัตว์ พยายามที่จะลงโทษคนที่เขาตัดสินว่าผิด การแสวงหา การประหัตประหาร การข่มเหง
ในทางศาสนา การข่มเหง อ้างถึงการแสวงหาเพื่อลงโทษผู้สื่อสารของพระเจ้าเป็นการล้างแค้น เหมือนนักล่าพยายามที่มีชัยชนะ (เป็นการกำจัด) เหนือคนที่พวกเขาจับได้
ถูกใช้ในภาษากรีกโบราณ และในพระคัมภีร์สำหรับการประหัตประหาร หมายถึง การเป็นปรปักษ์กับผู้นำฝ่ายวิญญาณ ตัวอย่างเช่น จักรพรรดิ์โรมันเดซิอุส(Decius) ค.ศ.250-251 เขาฆ่าคริสเตียนหลายพันคนที่ปฎิเสธที่จะมอบการถวายบูชาในนามของจักรพรรดิ์
คนที่ไม่เข้าใจเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า เขาจะสนใจสิ่งที่เป็นของโลกนี้ สนใจแค่โลกฝ่ายกายภาพ ที่ไม่ยั่งยืน ไม่นิรันดร์ แต่เราที่เชื่อพระเจ้าแล้วอย่าดำเนินชีวิตอย่างคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า หรือไม่รู้จักพระเจ้า ขอให้ดำเนินชีวิตผ่านการทดสอบทดลองความเชื่อ เพื่อให้ได้ชีวิตนิรันดร์ในอาณาจักรของพระเจ้า
พระเยซูคริสต์ใช้พระวจนะ เริ่มประกาศแผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้วจงกลับใจใหม่ ชีวิตนิรันดร์นั่นก็เริ่มด้วยพระวจนะ ชีวิตที่เติบโตและเกิดผลก็ใช้พระวจนะเช่นกัน แต่ผู้เชื่อที่ไม่ให้พระวจนะหยั่งรากลึกในชีวิตจะไม่ผ่านการทดสอบทดลอง
เราต้องให้พระวจนะมีอิทธิผลต่อการสร้างชีวิตฝ่ายวิญญาณของเราให้ หยั่งรากลึกในพระเจ้า ทำให้ฝ่ายวิญญาณเติบโต และเกิดผล
อย่าให้การทดสอบ การทดลองชนะเราได้ ต้องใช้พระวจนะในการต่อสู้ ต้องใช้ความสัมพันธ์สนิทกับพระเจ้าในการต่อสู้ ต้องใช้การอธิษฐานในการต่อสู้
ยน15:19ถ้าพวกท่านเป็นของโลก โลกก็ย่อมจะรักคนที่เป็นของโลกเอง แต่เพราะท่านไม่ได้เป็นของโลก คือเราเลือกท่านออกจากโลก เพราะเหตุนี้ โลกจึงเกลียดชังท่าน
ทุกวันนี้คริสตจักรหรืออาจารย์ หรือผู้นำต้องให้ความสนใจในการที่ผู้เชื่อมีการหยั่งรากลึกในความเชื่อพระเจ้า อยู่ใกล้ให้กำลังใจให้ผ่านการทดสอบทดลองไปได้ มากกว่าสนใจการอวยพรฝ่ายกายภาพ
2ทธ3:12 แท้จริงทุกคนที่ตั้งใจจะดำเนินชีวิตตามทางพระเจ้าในพระเยซูคริสต์จะถูกข่มเหง
คริสตจักรต้องสนใจในการสร้างชีวิตผู้เชื่อให้เติบโตและเกิดผล เพื่อเขาจะผ่านการทดสอบทดลองอย่างมีชัยชนะได้
2.ผลร้ายหากไม่ผ่านการทดสอบทดลอง (13ข)
(2.1) หลงไปจากความเชื่อ
ลก8:13ที่ตกบนหินหมายถึงคนเหล่านั้นที่ได้ยินแล้วก็รับพระวจนะนั้นด้วยความยินดี แต่ไม่มีราก เชื่อได้เพียงชั่วคราว เมื่อถูกทดลองก็หลงไป GK868:aphistémi (v) อ่านว่า.(af-is’-tay-mee) หมายความ ถอนตัวเองออกจาก หลุดออกไป จากไป ละเว้น อยู่ในตำแหน่งถอยออกห่าง ยืนห่าง
คำว่า หลงไป ตอนที่มารมาทดลองพระเยซูคริสต์ พระองค์ชนะการทดลองมารจึงหนีไป จากไป ถอยห่างออกไป ขอให้เราชนะการทดลองมารจะได้หลง
ลก4:12-13พระเยซูจึงตรัสตอบมารว่า “มีคำกล่าวไว้ว่า ‘อย่าทดลององค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่าน’” 13เมื่อมารทดลองทุกอย่างจนหมดแล้ว จึงจากพระองค์ไปจนกว่าจะถึงโอกาสเหมาะ
ฮบ3:12 นี่แน่ะ พี่น้องทั้งหลาย จงระวังให้ดี เพื่อจะไม่มีคนหนึ่งคนใดในพวกท่านมีใจชั่วและไม่เชื่อ คือใจที่พาท่านหลงไปจากพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์
1ทธ4:1 พระวิญญาณตรัสอย่างชัดแจ้งว่า ต่อไปภายหน้าจะมีบางคนละทิ้งความเชื่อ โดยหันไปเชื่อฟังวิญญาณทั้งหลายที่ล่อลวง และคำสอนของพวกผี
2ทธ2:19 แต่ว่ารากฐานอันแข็งแกร่งของพระเจ้าตั้งมั่นอยู่และปรากฏคำจารึกดังนี้ “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงรู้จักบรรดาคนของพระองค์” และ “ให้ทุกคนที่ออกพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าละทิ้งความชั่ว”
ต้องสำรวจชีวิตของตนเอง เราโลกนี้น้อยลงเมื่อเทียบกับความจริงของแผ่นดินของพระเจ้าหรือไม่ เรารักพระเจ้ามากพอที่ยอมทนการยากลำบาก การข่มเหงไหม
ให้ละทิ้งความชั่ว ชีวิตเก่า ไม่ใช่ละทิ้งพระเจ้า
(2.2) เลิกเชื่อพระเจ้า
(มธ13:21และเมื่อเกิดการยากลำบาก หรือการข่มเหงต่างๆ เพราะพระวจนะนั้น เขาก็เลิกเสียในทันทีทันใด)
(มก4:17 เมื่อเกิดการยากลำบากหรือการข่มเหงเพราะพระวจนะนั้น พวกเขาก็เลิกเสียทันที)
GK4624:skandalizó(V) อ่านว่า(skan-dal-id’-zo) หมายถึง ฉันทำให้สะดุด ก่อให้เกิดบาป ทำให้เกิดความขุ่นเคืองใจ กระทำให้ตกใจ กระทำความผิด ในมธ13:21 และมก4:17 หมายถึง เพื่อทำให้คนเริ่มไม่ไว้ใจ และละทิ้งคนที่เขาควรจะเชื่อใจ และเชื่อฟัง,ทำให้หลงทาง ผลคือ ทำให้หลุดออกไป นั่นคือ การละทิ้งพระเยซูคริสต์ ทำให้เลิกเชื่อพระองค์นั่นเอง
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น เมื่อสาวกเลิกเชื่อวางใจพระเยซูคริสต์
ยน6:60-61,66 เมื่อพวกสาวกของพระองค์หลายคนได้ยินอย่างนั้นก็พูดว่า “คำสอนเรื่องนี้ยากนัก ใครจะรับได้?” 61และเมื่อพระเยซูทรงทราบว่าพวกสาวกของพระองค์ซุบซิบกันถึงเรื่องนั้น จึงตรัสกับเขาว่า “เรื่องนี้ทำให้พวกท่านสะดุดหรือ?66 ตั้งแต่นั้นมาสาวกของพระองค์หลายคนถดถอยไม่ติดตามพระองค์ต่อไปอีก
สำหรับผู้เชื่อพระเจ้าคาดหวังให้เราหยั่งรากลึกในพระเจ้า มีความสัมพันธ์สนิทกับพระเจ้า รู้จักพระเจ้าจริงๆ ไม่ใช่ทิ้งกันไป จบความสัมพันธ์ต่อกัน
เรื่องเชื่อพระเยซูคริสต์เป็นเรื่องที่มีคนในโลกนี้มากมายสะดุด เหมือนหินสะดุด ถ้ามองเรื่องเมล็ดพืช หินเป็นอุปสรรค แต่ถ้ามองการสร้างอาคารหินเป็นประโยชน์สำหรับการวางรากฐาน
เราต้องขอบคุณพระเจ้าที่ได้เชื่อในพระเจ้า และยังดำเนินอยู่ในทางแห่งความรอดพระเยซูคริสต์ อย่าลืมที่จะตอบสนองพระวจนะต่อไป จนกว่าจะถึงวันที่ไปอยู่กับพระองค์ เพื่อจะมั่นใจว่าเรายังเชื่อพระเจ้า และมั่นใจในความรอดที่เราได้เชื่อพระเยซูคริสต์ โดยการวางรากฐานที่พระเยซูคริสต์พระองค์เป็นศิลา
มธ16:18เราบอกท่านว่าท่านคือเปโตร และบนศิลานี้ เราจะสร้างคริสตจักรของเราไว้และพลังแห่งความตายจะมีชัยต่อคริสตจักรไม่ได้
มธ7:24“เพราะฉะนั้น ทุกคนที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเราและประพฤติตาม ก็เปรียบเสมือนผู้ที่มีสติปัญญาสร้างบ้านของตนไว้บนศิลา
1คร10:4และได้ดื่มน้ำฝ่ายจิตวิญญาณเดียวกันทุกคน เพราะว่าพวกเขาได้ดื่มจากพระศิลาฝ่ายจิตวิญญาณที่ติดตามเขาไป พระศิลานั้นคือพระคริสต์
พระเยซูคริสต์เป็นพระพรกับผู้เชื่อ แต่เป็นหินสะดุดสำหรับคนไม่เชื่อ
1ปต2:7-8เพราะฉะนั้น พระองค์ทรงมีค่ามหาศาลสำหรับพวกท่านที่เชื่อ แต่สำหรับคนทั้งหลายที่ไม่เชื่อนั้น ศิลาที่ช่างก่อสร้างปฏิเสธไม่เอาแล้ว ศิลานี้กลับกลายเป็นศิลามุมเอก 8และเป็นศิลาที่ทำให้คนสะดุด และเป็นหินที่ทำให้คนหกล้ม ที่พวกเขาสะดุดนั้น เพราะพวกเขาไม่เชื่อฟังพระวจนะ ตามที่พวกเขาถูกกำหนดให้ทำเช่นนั้น
ถ้าเราไม่ตอบสนอง เราไม่เชื่อตามที่พระคัมภีร์สอน เราก็จะไม่ปฎิบัติตาม
พวจนะเลย เราจะไม่ดำเนินชีวิตตามพระทัยของพระเจ้าเลย เราจะมีชีวิตที่ปลายทางคือ ไม่เชื่อพระเจ้า และไม่ได้รับความรอด
การตอบสนองของเราต่อเรื่องนี้ คือ ต้องตรวจสอบชีวิตตนเอง เราได้เรียนรู้เรื่องของการทดสอบทดลอง คือ อะไร เราต้องปรับปรุงชีวิตในส่วนที่เราถูกทดสอบทดลอง เพื่อให้ชีวิตฝ่ายวิญญาณของเราเกิดผล เติบโต ไม่ตาย ทำให้เรามั่นใจความเชื่อในพระเยซูคริสต์ และมั่นใจในการรับความรอดในที่สุด
อย่าหลงไปจากความเชื่อ หรือเลิกเชื่อในพระเจ้า อย่าแยกตัวออกจากพระเจ้า แยกตัวออกจากความสัมพันธ์กับพระเจ้า