โครงคำเทศน์ วิถีคริสต์ มก6:30-40 โดย .ประยูร ลิมะหุตะเศรณี

กิจขจร ลิ่วเฉลิมวงศ์ (เพิ่มเติม ปรับแต่งเนื้อหา เพื่อเทศนา)

เทศนา คริสตจักรชีวิตรุ่งเรือง(GLC:H.I.M.) อาทิตย์ที่ 6 ต.ค.2024

หัวข้อ : การสร้างสาวกในวิถีคริสต์ (คริสตจักรแบ๊บติสต์อันติโอเกีย(สวนมะลิ))  อาทิตย์ 25 ส.ค. 2024 (เช้า)

หัวข้อ : ก้าวอย่างมั่นคงกับพระคริสต์ในวิถีคริสต์ (คริสตจักร Reconnect Church ประเทศไทย) อาทิตย์ 1 ก.ย. 2024 (บ่าย)

  1. สาวกต้องมีเวลาหยุดพัก (30-32) 

  2. สาวกติดตามพระคริสต์ด้วยท่าทีที่ถูกต้อง (33,35) 

  3. สาวกมีน้ำใจต่อคนด้านจิตวิญญาณ (34) 

  4. สาวกพร้อมเผชิญปัญหาที่เกินกำลัง (35,36)

  5. สาวกแสดงความรับผิดชอบต่อปัญหาที่เกินความสามารถ (37)

  6. สาวกต้องแก้ปัญหาตามพระดำรัสของพระเยซู (39-44)

  7. สาวกเชื่อในการอัศจรรย์ของพระเจ้า  

มก6:30-44 

30พวกอัครทูต(.กรีกแปลตรงๆว่า ผู้ที่ทรงใช้ไป)มาห้อมล้อมพระเยซูและทูลถึงสิ่งต่างๆ ที่พวกเขาทำและสั่งสอน 31แล้วพระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “มาเถิด จงปลีกตัวออกมาหาที่สงบเพื่อหยุดพักสักหน่อยหนึ่ง” เพราะว่ามีคนไปมามากมายจนไม่มีเวลาแม้แต่จะรับประทานอาหาร 32พระองค์จึงเสด็จลงเรือกับพวกสาวกไปยังที่สงบตามลำพัง

33ขณะที่ไปนั้นมีคนจำนวนมากเห็นและจำได้ จึงพากันออกจากเมืองต่างๆ วิ่งไปถึงที่หมายล่วงหน้าก่อนพวกของพระองค์ 34เมื่อพระเยซูเสด็จขึ้นจากเรือแล้วก็ทอดพระเนตรเห็นมหาชน และพระองค์ทรงสงสารพวกเขา เพราะว่าพวกเขาเป็นเหมือนฝูงแกะไม่มีผู้เลี้ยง พระองค์จึงทรงเริ่มสั่งสอนพวกเขาหลายประการ 35เมื่อเวลาผ่านไปเกือบจะค่ำแล้ว พวกสาวกมาทูลพระองค์ว่า “ที่นี่เป็นถิ่นทุรกันดาร และตอนนี้เวลาก็เย็นมากแล้ว 36ขอพระองค์ทรงให้ประชาชนไปเถิด พวกเขาจะได้ไปหาซื้ออาหารรับประทานตามชนบทและหมู่บ้านที่อยู่แถบนี้” 37แต่พระองค์ตรัสตอบพวกสาวกว่า พวกท่านจงเลี้ยงพวกเขาเถิด พวกเขาทูลพระองค์ว่า “จะให้พวกข้าพระองค์ใช้เงินสองร้อยเดนาริอันไปซื้ออาหารให้พวกเขารับประทานหรือ?” 38พระองค์ตรัสตอบพวกเขาว่าพวกท่านมีขนมปังอยู่กี่ก้อน? ไปดูซิเมื่อทราบแล้วพวกเขาจึงทูลว่า “มีขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัว” 39พระองค์จึงตรัสสั่งพวกเขาให้จัดคนทั้งหลายนั่งรวมกันที่หญ้าสดเป็นหมู่ๆ 40ประชาชนก็นั่งรวมกันเป็นหมู่ๆ หมู่ละร้อยคนบ้าง ห้าสิบคนบ้าง 41เมื่อพระองค์ทรงรับขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวนั้นแล้ว ก็แหงนพระพักตร์ดูฟ้าสวรรค์ เมื่อขอพระพรแล้วก็ทรงหักขนมปังเหล่านั้นให้พวกสาวกเอาไปแจกให้กับคนทั้งหลาย ส่วนปลาสองตัวนั้นพระองค์ก็ทรงแบ่งให้โดยทั่วกัน 42ทุกคนจึงได้กินจนอิ่ม 43ส่วนเศษขนมปังและปลาที่เหลือนั้น พวกเขาเก็บไว้ได้ถึงสิบสองตะกร้าเต็ม 44จำนวนคนที่รับประทานขนมปังเหล่านั้นมีผู้ชายห้าพันคน

วันนี้จะเทศนาหัวข้อ วิถีคริสต์ วิถี แปลว่า เส้นทาง คริสต์ คือ พระคริสต์ แปลรวมแล้วมีความหมายว่า แนวทางการดำเนินชีวิต(สาวก)เมื่อมาเชื่อพระเจ้า ผู้เชื่อรับการเปลี่ยนแปลงเป็นคนใหม่ ไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นวิธีการคิด วิธีการตัดสินใจ วิธีการตอบสนองต่อปัญหาต่างๆมีการเปลี่ยนแปลงใหม่ แต่เป็นคนเดิมที่ตายไปแล้วต่อบาป และกลายเป็นส่ิงใหม่ๆทั้งนั้น 

วิถีคริสต์  ไม่ใช่วิถีของพระเยซูคริสต์ แต่เป็นวิธีคิด แนวทางการดำเนิน

ชีวิตที่ไม่ใช่เกิดจากความรู้ หรือทักษะ หรือเกิดจากการฝึกฝน  แต่วิถีคริสต์เกิดมาจากการที่เราเป็น ไม่ใช่เราทำ  เราเป็นคนที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่จากพระคริสต์ เราจึงดำเนินชีวิตามวิถีคริสต์ 

สังเกตคำว่า อัครฑูต(30คนที่พระเจ้าทรงใช้ไป) และ คำว่า “สาวก”(41 .กรีก 3101 math’e’thes ผู้เรียนรู้ติดตามพระคริสต์และดำเนินชีวิตตามพระคริสต์ หรือผู้ที่จริงจังในการให้คำแนะนำที่เหมาะสมที่จำเป็น จากพระคัมภีร์เพื่อให้ดำเนินชีวิตตามพระคริสต์) 

คำว่าสาวกใช้มากในภาษาไทยในบริบทนี้ ข้อ 32,35,37,41 แต่ในภาษาเดิมอาจใช้ลักษณะคำที่แตกต่างกันไป แต่ความหมายหลักจะหมายถึง สาวก

ซึ่งแตกต่างจากคำว่า ฝูงชนห้าพันคน เพราะอัครฑูตและสาวกเป็นคนใกล้ชิด เชื่อในพระเยซูคริสต์   ตั้งใจดำเนินชีวิตเป็นสาวก และสร้างสาวก ชีวิตของพวกเขาต้องการก้าวอย่างมั่นคงกับพระคริสต์ในทุกๆวัน เขาเป็นคนที่พระเจ้าจะใช้ไป

เหตุการณ์ครั้งแรกในการเลี้ยงคนห้าพันคน วันนี้มาดูมุมมองเรื่อง “วิถีคริสต์” จากพระธรรมตอนนี้  7 ประการ 

1. สาวกต้องมีเวลาหยุดพัก (30-32)

30พวกอัครทูตมาห้อมล้อมพระเยซูและทูลถึงสิ่งต่างๆ ที่พวกเขาทำและสั่งสอน 31แล้วพระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “มาเถิด จงปลีกตัวออกมาหาที่สงบเพื่อหยุดพักสักหน่อยหนึ่ง” เพราะว่ามีคนไปมามากมายจนไม่มีเวลาแม้แต่จะรับ

ประทานอาหาร 32พระองค์จึงเสด็จลงเรือกับพวกสาวกไปยังที่สงบตามลำพัง

พระเยซูหาเวลาพักผ่อน ให้มีเวลาทานอาหาร  อย่าสูญเสียพระพรแห่งการพักผ่อน หลังสาวกได้รับมอบหมายจากพระเยซู พวกเขากลับมารายงาน พระเยซูพาเขาไปหาที่พัก 

คริสเตียนต้องเชี่ยวชาญการพักผ่อน พระคัมภีร์บอกว่าบรรดาผู้เหน็ดเหนื่อยจงมาหาเรา เราจะให้ท่านทั้งหลายหายเหนื่อยและเป็นสุข มธ11:28 

เพราะเวลาที่เราเหน็ดเหนื่อย ทุกๆอย่างจะกลายเป็นภาระหนัก

” วิถีคริสต์ คือ วิถีการพักผ่อน “ 

อพย20:8-11“จงระลึกถึงวันสะบาโต ถือเป็นวันบริสุทธิ์ 9จงทำงานทั้งสิ้นของเจ้าหกวัน 10แต่วันที่เจ็ดนั้นเป็นสะบาโตแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า ในวันนั้นห้ามทำงานใดๆไม่ว่าเจ้าเอง หรือบุตรชายบุตรหญิงของเจ้า หรือทาสทาสีของเจ้า หรือสัตว์ใช้งานของเจ้า หรือคนต่างด้าวที่อาศัยอยู่ในประตูเมืองของเจ้า 11เพราะในหกวันพระยาห์เวห์ทรงสร้างฟ้าและแผ่นดิน ทะเล และสรรพสิ่งซึ่งมีอยู่ในที่เหล่านั้น แต่ในวันที่เจ็ดทรงพัก เพราะฉะนั้นพระยาห์เวห์ทรงอวยพรวันสะบาโต และทรงตั้งวันนั้นไว้เป็นวันบริสุทธิ์

พระเจ้าให้อิสราเอลรู้จักพักสะบาโตไม่ให้ทำงาน ในวันที่เจ็ดเพราะพระเจ้า ทำงานหกวัน พระเจ้าอวยพรวันสะบาโตตั้งวันนั้นเป็นวันบริสุทธิ์  ถ้าเรามีเงินเยอะแต่ไม่มีเวลาพักผ่อน เอาเงินออกไปเถอะ เมื่อเรารู้จักพักเราจะรับการอวยพร 

ค่านิยมของโลก คือ ทำงานหามรุ่งหามค่ำ เพื่อรวย เพื่อสบาย คนที่ไม่มี

พระเจ้าไม่เข้าใจเคล็ดลับการอวยพรนี้ พวกเขาพยายามทำงานหนักมากเพื่อจะได้ผลตอบแทนมากๆ เหมือนคำที่พูดว่า “ทำงานหามรุ่งหามค่ำ” 

พระเจ้าให้เราเป็นไท ไม่ใช่เป็นทาส  ชีวิตในพระคริสต์ปลดปล่อยเราจากบาป ทำให้เราเป็นไท เป็นวิถีแห่งพระพร คือ การพักผ่อน มีวาระ มีบรรยากาศแห่ง การพักผ่อน ผ่อนคลาย ขอให้เวลาที่มีสมาชิกในครอบครัวกลับมาที่บ้าน พวกเขาจะรู้สึกผ่อนคลาย พักผ่อน 

พระเจ้าสร้างธรรมชาติเพื่อให้เราได้พักผ่อน  อย่าทำให้บ้านกลายเป็นความกดดันจนทำให้สมาชิกในครอบครัวไม่อยากกลับบ้าน

2. สาวกติดตามพระคริสต์ด้วยท่าทีที่ถูกต้อง (33,35)

33ขณะที่ไปนั้นมีคนจำนวนมากเห็นและจำได้ จึงพากันออกจากเมืองต่างๆ วิ่งไปถึงที่หมายล่วงหน้าก่อนพวกของพระองค์ 35เมื่อเวลาผ่านไปเกือบจะค่ำแล้วพวกสาวกมาทูลพระองค์ว่า “ที่นี่เป็นถิ่นทุรกันดารและตอนนี้เวลาก็เย็นมากแล้ว

สถานที่ซึ่งพระเยซูไปส่วนใหญ่เป็นที่ทุรกันดาร แต่ผู้คนที่ติดตามพระเยซู พวกเขาไม่ได้คำนึงถึงว่า มันเป็นสถานที่กันดารหรืออุดมสมบูรณ์ แต่ขอให้พระเยซูอยู่ที่ไหนพวกเขาก็พร้อมจะอยู่ที่นั่น  

คนชอบถามว่ามาเชื่อพระเจ้าแล้ว สบายไหม สะดวกไหม มีสตางค์ไหม สุขไหม จึงทำให้หลายคนประกาศเรื่องพระเยซูผิดไป ไปตอบสนองความต้องการฝ่ายเนื้อหนัง  เลยประกาศแต่เรื่องพระพรที่จะได้รับจากพระเจ้า  

มีหลายครั้งในพระคัมภีร์ที่หลายคนคิดจะติดตามพระเยซู แต่พอคิดมากๆแล้วก็ไม่ติดตามพระเยซูเพราะ คิดว่าตามพระเยซูแล้วจะได้อะไร 

สุนัขจิ้งจอกยังมีรังแต่เราพระเยซูยังไม่มีที่นอน“เจ้าจะไปด้วยกันกับเราไหม” พระเยซูถาม  เหตุผลที่เราตามพระเยซูเพราะพระเยซูเป็นพระเจ้า ไม่ใช่เพราะต้อง การพระพรของพระองค์ ขอให้โฟกัสให้ความสำคัญที่พระองค์ 

พวกสาวกอยู่กับพระเยซู จนกระทั่งคำ่ เพิ่งคิดได้ว่าที่นี่เป็นถิ่นทุรกันดารไม่มีอาหารไม่มีอะไรจะกิน พอเริ่มคิดว่าจะกินอะไรจึงเห็นปัญหา

แท้ที่จริงแล้วในส่วนลึกๆของมนุษย์ เรียกร้องหาพระเจ้า มากกว่าพระพรของพระเจ้า  มนุษย์เราถึงได้สร้างพระ สร้างรูปเคารพออกมามากมาย เพื่อมนุษย์ จะได้นมัสพระเจ้า การเราที่เป็นคริสเตียนเราต้องนมัสการพระเยซู แบบที่พระองค์เป็นพระเจ้า ไม่ใช่นมัสการตามการอวยพรของพระเจ้า 

ลก9:23-24 พระองค์จึงตรัสกับพวกเขาทุกคนว่า “ถ้าใครต้องการจะมาติดตามเรา ให้คนนั้นปฏิเสธตนเอง รับกางเขนของตนแบกทุกวันและตามเรามา 24เพราะว่าใครต้องการจะเอาชีวิตรอด คนนั้นจะเสียชีวิต แต่ใครยอมเสียชีวิต เพราะเห็นแก่เรา คนนั้นจะได้ชีวิตรอด

การปฎิเสธตนเอง และแบกกางเขน ตามเรามา ติดตามพระเยซูเพราะพระองค์เป็นใคร ไม่ใช่ติดตามเพราะจะได้อะไร 

หลังจากพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย พระองค์คุยกับเหล่าสาวกก่อนขึ้นสวรรค์ ยน21:22 พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ถ้าเราอยากให้เขาอยู่จนกว่าเราจะมา มันเกี่ยวอะไรกับท่าน? จงตามเรามาเถิด”

หมายความว่า สาวกจงตามเรามาเถิด ไม่ต้องไปจดจ่อกับอย่างอื่น หรือสิ่งอื่น

3. สาวกมีน้ำใจต่อคนด้านจิตวิญญาณ (34)

เมื่อพระเยซูเสด็จขึ้นจากเรือแล้วก็ทอดพระเนตรเห็นมหาชน และพระองค์ทรงสงสารพวกเขา เพราะว่าพวกเขาเป็นเหมือนฝูงแกะไม่มีผู้เลี้ยง พระองค์จึงทรงเริ่มสั่งสอนพวกเขาหลายประการ

พระเยซูทรงสั่งสอน เพื่อช่วยพวกเขาด้านจิตวิญญาณ เพราะพวกเขาไม่มีผู้เลี้ยง สังคมที่ไม่รู้จักพระเจ้าขาดแคลนเรื่องอาหารฝ่ายจิตวิญญาณอย่างมาก คนเหล่านั้นที่มาหาพระเยซูในเวลานั้นส่วนใหญ่ก็ยังไม่ได้รู้จักพระเจ้า แต่พระเยซูไม่เพิกเฉยต่อคนที่หิวกระหายจิตวิญญาณ 

คริสเตียนเมื่อเห็นคนขาดแคลนในฝ่ายจิตวิญญาณแต่คริสเตียนไม่ตอบสนอง ไม่ห่วงไย ไม่รักคนที่ไม่รอด เราเป็นอย่างนั้นไม่ได้ ตามวิถีคริสต์ เราต้องรู้สึกทนไม่ได้ที่คนขาดแคลนอดอยากฝ่ายจิตวิญญาณ ถามว่าเราไปสามัคคีธรรม กันทำไม ไม่ใช่ไปเพื่อการเสริมสร้างซึ่งกันและกัน เพื่อให้เกิดการเติบโตฝ่ายจิตวิญญาณ เราต้องมีการเสริมสร้างกันและกัน มีคนเสริมสร้าง เมื่อเราไปสามัคคีธรรมเราไปเพื่อแสดงน้ำใจต่อคนอื่นที่ขาดแคลน และให้คนอื่นได้แสดงน้ำใจกับเราด้วย

มธ9:36-38 และเมื่อพระองค์ทอดพระเนตรฝูงชนก็ทรงสงสารเขาทั้งหลาย เพราะพวกเขาถูกรังควานและไร้ที่พึ่งเหมือนฝูงแกะไม่มีผู้เลี้ยง 37แล้วพระองค์ตรัสกับสาวกทั้งหลายของพระองค์ว่า “ข้าวที่ต้องเกี่ยวนั้นมีมากนักหนา แต่คนงานยังน้อยอยู่ 38เพราะฉะนั้นท่านจงอ้อนวอนพระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าของนา ให้ทรงส่งคนงานมาเก็บเกี่ยวพืชผลของพระองค์”

พระเยซูสงสารคนที่ถูกรังควานไร้ที่พึ่ง เหมือนฝูงแกะไม่มีผู้เลี้ยง ความขาดแคลนฝ่ายวิญญาณมีมาก เมื่อเรามีน้ำใจ เราไม่เพิกเฉย เราอธิษฐานขอคนมาเพิ่มมาช่วยกัน คนขาดแคลนเยอะเหลือเกิน เกินความจำกัดของเรามากมายใน

การช่วยเหลือ แต่ถ้าเราเป็นคริสเตียน เราจะดำเนินชีวิตตอบสนองเรื่องความ

หิวกระหายฝ่ายจิตวิญญาณของผู้อื่น (การเป็นพี่เลี้ยงที่มีน้ำใจฝ่ายวิญญาณต่อผู้เชื่อเป็นเหมือนการสร้างสาวกนั่นเอง)

คนเราจะสมบูรณ์แบบก็ต่อเมื่อ เราตายไปอยู่กับพระเจ้าแล้ว แต่สำหรับ

ผู้เชื่อที่ยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ จำเป็นต้องเติบโตฝ่ายวิญญาณต่อไป

แปลกไหมถ้าสาวกไม่อยากมีส่วนในการสร้างผู้อื่น? ตอบเลยว่าไม่แปลกเพราะผู้เชื่อที่ยังไม่เติบโตก็ไม่สามารถรับผิดชอบชีวิตของตนเองได้ แล้วยังจะไปรับผิดชอบชีวิตคนอื่นได้อย่างไร

หลายคนรู้ว่าการสร้างสาวก และการดูแลมีส่วนสร้างชีวิตผู้อื่นเป็นเรื่องที่พระเจ้าอยากให้เราทำแต่จะทำอย่างไร? เราต้องเติบโตในด้านความเชื่อ ในด้านชีวิต ในด้านพระวจนะ ในด้านการรับใช้ ทั้งหมดนี้มาจากแรงจูงใจที่อยากเติบโตขึ้นในทางความเชื่อ เราจึงค่อยพัฒนาปรับเปลี่ยน ยอมรับการสร้างชีวิตฝ่ายวิญญาณ

ถ้าเราเป็นคนที่ไม่ชอบหรือไม่อยากไปยุ่ง หรือมีส่วนในชีวิตผู้อื่นเลย อาจจะรู้สึกว่าทั้งยุ่งยาก หรือเอาตัวเองยังไม่รอดเลย ? เราต้องคิดในแง่มุมกลับกันว่า สิ่งเหล่านี้ที่เราคิด ที่เราเป็นแบบนี้ มันดีกับชีวิตของเราไหม มันเป็นประโยชน์กับชีวิตของเราไหม เราจะเป็นแบบนั้นตลอดไปหรือ เราจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงชีวิตหรือ 

4. สาวกพร้อมเผชิญปัญหาที่เกินกำลัง (35,36)

เมื่อเวลาผ่านไปเกือบจะค่ำแล้วพวกสาวกมาทูลพระองค์ว่า “ที่นี่เป็นถิ่นทุรกันดารและตอนนี้เวลาก็เย็นมากแล้ว 36ขอพระองค์ทรงให้ประชาชนไปเถิดพวกเขาจะได้ไปหาซื้ออาหารรับประทานตามชนบทและหมู่บ้านที่อยู่แถบนี้”

ถิ่นทุรกันดารไม่มีอาหารสำหรับคนจำนวนมาก แต่สาวกกำลังปัดปัญหาให้พ้นตัว เพราะเป็นปัญหาที่เกินความสามารถของพวกเขา ตอนเวลาค่ำในสมัยของพระเยซูไม่มีใครจะทำงานอะไรเพราะมันมืดมาก ไม่ได้มีไฟฟ้าเหมือนสมัยนี้ สมัยนั้นไม่มีคนขายอาหารมากมายเหมือนสมัยนี้ พวกสาวกหาซื้ออาหารไม่ได้ อีกทั้งมีเงินไม่มากพอซื้ออาหารด้วย  

แต่พระเยซูยินดีเผชิญปัญหานี้ และช่วยพวกเขา คริสเตียนเราก็ไม่ต่างจากคนไม่เชื่อคนอื่นๆที่ยังต้องเผชิญปัญหาเหมือนคนอื่นๆแต่คริสเตียนสามารถช่วยเขาเหล่านั้นได้

ในปัญหาที่เกินความสามารถของเรา ฟป4:10-13 ข้าพเจ้ามีความชื่นชมยินดีอย่างยิ่งในองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะว่าในที่สุดท่านทั้งหลายก็หวนกลับมาคิดถึงข้าพเจ้าอีก ความจริงท่านยังคิดถึงข้าพเจ้าอยู่ แต่ยังหาโอกาสไม่ได้ 11ข้าพเจ้าไม่ได้พูดเนื่องจากความขัดสน เพราะข้าพเจ้าเรียนรู้ที่จะพอใจในสภาพที่เป็นอยู่ 12ข้าพเจ้ารู้จักความขาดแคลนและรู้จักความอุดมสมบูรณ์ ไม่ว่าในกรณีใดหรือในทุกกรณี ข้าพเจ้าได้เรียนรู้เคล็ดลับในการเผชิญความอิ่มท้องและความอดอยาก ความอุดมสมบูรณ์และความขัดสนแล้ว 13ข้าพเจ้าเผชิญได้ทุกอย่างโดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า

ปัญหาที่เกินความสามารถของเรา ขอให้เราเผชิญกับมันด้วยการเสริมกำลังจากพระเจ้า  แม้แต่เรื่องบาปก็เป็นเรื่องที่เกินความสามารถของเราแต่พระคริสต์ช่วยให้เราหลุดพ้น พระเยซูทำให้เราเกิดใหม่ได้ คริสเตียนอยู่กับปัญหาที่เกินความสามารถในการแก้ไขของตนเองทั้งนั้น เพราะถ้าปัญหาต่ำกว่าความสามารถของเราหรือเท่ากับความสามารถของเรา เราไม่เรียกว่าปัญหา เพราะเราแก้ไขด้วยตนเองได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาพระเจ้าเลย

ดาวิดเจอปัญหาเกินความสามารถเมื่อต่อสู้กับยักษ์โกลิอัท คนของพระเจ้าส่วนใหญ่ล้วนเจอกับปัญหาที่เกินความสามารถของตนเองทั้งสิ้น นี่คือ วิถีคริสต์ 

5.สาวกแสดงความรับผิดชอบต่อปัญหาที่เกินความสามารถ (37)

แต่พระองค์ตรัสตอบพวกสาวกว่า “พวกท่านจงเลี้ยงพวกเขาเถิด” พวกเขาทูลพระองค์ว่า “จะให้พวกข้าพระองค์ใช้เงินสองร้อยเดนาริอันไปซื้ออาหารให้พวกเขารับประทานหรือ?”

เราทุกคนส่วนใหญ่ ไม่มีใครอยากรับผิดชอบกับปัญหาที่ใหญ่เกินความสามารถของตนเอง แต่เมื่อพระเจ้ามอบหมายให้เรารับผิดชอบ แน่ทีเดียวเราอาจไม่มี หรือเรามีแต่ไม่พอ หากพระเจ้าให้เรารับผิดชอบ นี่คือ วิถีคริสต์ เมื่อเราตามพระเยซู พระองค์กำหนดให้เรารับผิดชอบ เราก็ต้องรับผิดชอบ แผนการพระเจ้า ยิ่งใหญ่เกินความสามารถของเรา เกินงบประมาณของเรา แต่เรายินดีรับผิดชอบ เพราะเราเข้าใจว่าส่วนที่เกินกำลังของเราจะมาจากการช่วยเหลือของพระเจ้า  

ความสำเร็จมาจากพระเจ้า ส่วนของเราคือรับผิดชอบ นี่คือวิถีคริสต์ คนที่ไม่เชื่อพระเจ้าไม่มีใครอยากรับผิดชอบงานใหญ่เกินกำลังตนเอง หรือรับผิดชอบงานยากๆ แต่สำหรับคริสเตียน ถ้าพระเจ้ามอบหมายเราต้องรับผิดชอบ

ในความรับผิดชอบของเรานั้น แม้เป็นงานใหญ่มาก แต่เราก็ไม่ควรมองข้ามสิ่งเล็กน้อยที่เรามีอยู่ (38)พระองค์ตรัสตอบพวกเขาว่าพวกท่านมีขนมปังอยู่กี่ก้อน? ไปดูซิ

พระเยซูไม่รอให้พวกเขาเข้าใจก่อน พระเยซูไม่ได้รออธิบายให้พวกเขาเข้าใจก่อน แต่พระองค์ถามว่าพวกท่านมีขนมปังกี่ก้อน มีห้าก้อนกับปลาสองตัว 

วิถีคริสต์ ไม่มองข้ามส่ิงเล็กน้อยที่เรามี เพราะส่ิงเล็กน้อยเหล่านั้นมาจากพระเจ้า และไม่มีอะไรที่มาจากพระเจ้าแล้วจะถูกมองข้าม สมาชิกในคริสตจักรของเราอาจมีความแตกต่างกันบ้าง อายุต่างกัน การศึกษาต่างกัน ความสามารถมีมากน้อยต่างกัน มีคนรวยคนจนต่างกัน แต่เราห้ามมองข้ามส่ิงเล็กน้อยที่เรามีอยู่ 

ดาวิดเจอโกลิอัท เขาเอาหนังสติ๊กเป็นอาวุธ แล้วไปหาหินเอาข้างทาง ส่วนกษัตริย์ซาอูลบอกดาวิดให้เอาอาวุธของพระองค์ ไป ดูเหมือนซาอูลเสียสละมาก แต่อาวุธที่ให้ดาวิดมันใช้ในการเอาชนะการรบไม่ได้ หรือแท้จริงแล้วนี่เป็นการลาออกทางอ้อมของซาอูล เพราะหากดาวิดแพ้ต่อโกลิอัท อาวุธของซาอูลก็ต้องโดนศัตรูยึดไปอยู่ดีก็เท่ากับบอกทางอ้อมว่า ถ้าแพ้ก็ลาออกแน่

งานของพระเจ้า มีงานเยอะมาก และต้องการผู้เชื่อทุกคนมาช่วยกัน หลายคนไม่รับใช้เพราะมองข้ามสิ่งเล็กน้อยที่ตนเองมีอยู่ ไม่ได้มองว่าพระเจ้าให้อะไรไว้ในชีวิตของเราบ้าง

 วิถีคริสต์ เริ่มต้นที่ความเชื่อ แล้วค่อยเติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่ ขอให้เราเห็นคุณค่าที่พระเจ้าใส่ให้ไว้ในชีวิตเรา ค้นหาและรู้จักใช้ให้เป็นพระพรต่อผู้อื่น 

6.สาวกต้องแก้ปัญหาตามพระดำรัสของพระเยซู (39-44)

พระองค์จึงตรัสสั่งพวกเขาให้จัดคนทั้งหลายนั่งรวมกันที่หญ้าสดเป็นหมู่ๆ 40ประชาชนก็นั่งรวมกันเป็นหมู่ๆ หมู่ละร้อยคนบ้าง ห้าสิบคนบ้าง 41เมื่อพระองค์ทรงรับขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวนั้นแล้ว ก็แหงนพระพักตร์ดูฟ้าสวรรค์ เมื่อขอพระพรแล้วก็ทรงหักขนมปังเหล่านั้นให้พวกสาวกเอาไปแจกให้กับคนทั้งหลาย ส่วนปลาสองตัวนั้นพระองค์ก็ทรงแบ่งให้โดยทั่วกัน 42ทุกคนจึงได้กินจนอิ่ม 43ส่วนเศษขนมปังและปลาที่เหลือนั้น พวกเขาเก็บไว้ได้ถึงสิบสองตะกร้าเต็ม 44จำนวนคนที่รับประทานขนมปังเหล่านั้นมีผู้ชายห้าพันคน

พระองค์ให้ประชาชนนั่งรวมกันเป็นหมู่ๆละ50-100 บ้าง เมื่อโมทนาขอบคุณพระเจ้าสำหรับอาหารแล้วก็แบ่งแจกจ่ายให้ทุกคนได้กิน 

พระเยซูให้ทำอะไรพวกเขาก็ทำตามนั้นทุกอย่าง ความสำเร็จมาจากท่าทีภายในของพวกสาวกที่มีความเชื่อฟังพระเจ้า  เป็นคนของพระคริสต์ พระเยซูจึงทำให้ความสำเร็จเกิดขึ้นได้ เมื่อเราทำตามพระองค์  เมื่อเรามีการบังเกิดใหม่แล้วเราก็ควรเชื่อฟังทำตามพระเจ้า  

พวกสาวกได้เลี้ยงอาหารคนเหล่านั้นจริงๆ ทั้งๆที่ตอนแรกเป็นปัญหาใหญ่มากๆที่พวกเขาเผชิญ แต่พระเจ้าให้พวกเขามีส่วนร่วมในความสำเร็จยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ผ่านทางคริสตจักร ตามพวจนะของพระเจ้า เมื่อเราเชื่อฟัง

 ลก5:5 พระเยซูให้เปโตรทอดอวนตามพระดำรัสของพระองค์ ในใจเปโตร ก็คิดว่าไม่น่าจะได้ปลา เพราะตกมาทั้งคืนแต่เขาก็เชื่อฟังไปทำตาม พบความสำเร็จมาก ได้ปลามาเต็มเรือ

7.สาวกเชื่อในการอัศจรรย์ของพระเจ้า  

เรื่องการอัศจรรย์นี้ ไม่มีคำอธิบาย ไม่ต้องหาเหตุผล แต่ให้เราชื่นชมยินดีในอัศจรรย์ของพระเจ้าที่ช่วยเหลือชีวิตของเรา  เปโตรได้ปลาเต็มลำเรือสองลำ เป็นเรื่องอัศจรรย์ ขอให้เรากลับไปใช้เวลาอ่านพระคัมภีร์ ส่วนตัว แสวงหาพระเจ้า ตาม วิถีคริสต์ ขอให้เห็นการเปลี่ยนแปลง และขอให้ดำเนินชีวิตตามพระเยซู 

ไม่ต้องแปลกใจที่เราต้องฟังคำเทศน์แล้ว ฟังอีก ไม่ผ่านการทดสอบการเจอการสอบใหม่อีก จนกว่าเราจะก้าวอย่างมั่นคงกับพระคริสต์ จนกว่าเราจะเติบโตเป็นสาวก ครั้งแรก ปัญหาคน 5,000 คน ครั้งที่ 2 ปัญหาคน 4,000 คน 

มก6:37-38 แต่พระองค์ตรัสตอบพวกสาวกว่า “พวกท่านจงเลี้ยงพวกเขาเถิด” พวกเขาทูลพระองค์ว่า “จะให้พวกข้าพระองค์ใช้เงินสองร้อยเดนาริอันไปซื้ออาหารให้พวกเขารับประทานหรือ?” 38พระองค์ตรัสตอบพวกเขาว่า “พวกท่านมีขนมปังอยู่กี่ก้อน? ไปดูซิ” เมื่อทราบแล้วพวกเขาจึงทูลว่า “มีขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัว” เปรียบเทียบกับ มก8:4‘พวกสาวกจึงทูลตอบพระองค์ว่า “ในถิ่นทุรกันดารแบบนี้จะหาอาหารให้พวกเขากินอิ่มได้ที่ไหน?” 

มธ14:15‘เมื่อเวลาเย็นแล้ว บรรดาสาวกมาทูลพระองค์ว่า “ที่นี่เป็นถิ่นทุรกันดาร และบัดนี้ก็เย็นลงมากแล้ว ขอพระองค์โปรดให้ฝูงชนไปเสียเถิด เพื่อพวกเขาจะไปซื้ออาหารรับประทานตามหมู่บ้าน” เปรียบเทียบกับ มธ15:33 พวกสาวกทูลพระองค์ว่า “ในถิ่นทุรกันดารนี้เราจะหาอาหารที่ไหนพอเลี้ยงฝูงชนมากเท่านี้ให้อิ่มได้?” 

ในตอนที่พระเยซูคริสต์ยังอยู่กับพวกสาวก พวกเขาเจอปัญหาเดิมสองครั้ง พวกเขาก็ยังตั้งคำถามแบบเดิมๆ แสดงว่าเขายังไม่เรียนรู้จากปัญหาครั้งแรกแก้ไขได้อย่างไรนั่นเอง 

แต่ขอบคุณพระเจ้าเมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จสู่ฟ้าสวรรค์แล้ว พวกอัครฑูตที่เป็นสาวกรุ่นแรกเกิดผลมาก พวกเขาแก้ไขปัญหาเรื่องการเลี้ยงดูคนจำนวนมากที่มาเชื่อในพระเยซูคริสต์ 3,000 คนได้ อีกทั้งยังมีคนที่สนใจมาฟังข่าวประเสริฐอีกกี่คนไม่ได้บันทึกไว้

กจ2:41-4741คนทั้งหลายที่รับถ้อยคำของเปโตรก็รับบัพติศมา ในวันนั้นมีคนเข้าเป็นสาวกประมาณสามพันคน 42เขาทั้งหลายอุทิศตัวเพื่อฟังคำสอนของบรรดาอัครทูตและร่วมสามัคคีธรรม รวมทั้งหักขนมปังและอธิษฐาน 43เขาทั้งหลายมีความเกรงกลัวด้วยกันทุกคน และพวกอัครทูตทำการอัศจรรย์ และหมายสำคัญมากมาย 44คนทั้งหมดที่เชื่อถือก็อยู่รวมกัน และนำทุกสิ่งมารวมเป็นของกลาง 45และพวกเขาขายที่ดินและทรัพย์สิ่งของมาแบ่งให้แก่กันตามความจำเป็น 46ทุกๆ วัน พวกเขาอุทิศตัวอยู่ด้วยกันในพระวิหารและหักขนมปังตามบ้านของพวกเขา รับประทานอาหารร่วมกันด้วยความชื่นชมยินดีและจริงใจ 47ทั้งสรรเสริญพระเจ้าและได้รับความชื่นชอบจากทุกคน องค์พระผู้เป็นเจ้าก็โปรดให้คนทั้งหลายที่กำลังจะรอด เพิ่มจำนวนเข้ามามากยิ่งขึ้นทุกๆ วัน

ให้เราร่วมใจกันอธิษฐาน

อ้างอิง

  1. https://biblehub.com/commentaries/ellicott/mark/6.htm
  2. https://biblehub.com/commentaries/benson/mark/6.htm
  3. https://biblehub.com/commentaries/mhc/mark/6.htm
  4. https://biblehub.com/commentaries/barnes/mark/6.htm
  5. https://biblehub.com/commentaries/poole/mark/6.htm
  6. https://biblehub.com/commentaries/gill/mark/6.htm
  7. https://biblehub.com/commentaries/egt/mark/6.htm
  8. https://biblehub.com/commentaries/cambridge/mark/6.htm
  9. https://biblehub.com/commentaries/bengel/mark/6.htm 10.https://biblehub.com/commentaries/pulpit/mark/6.htm 11.https://bible.alpha.org/th/classic/53/index.html 12.https://www.sermonillustrations.com/a-z/d/discipline.htm

13.เฮาส์, เอช. เวย์น, ลำดับเหตุการณ์ในพันธสัญญาใหม่, แปลโดยธนาภรณ์ธรรมสุจริตกุล (พิมพ์ครั้งที่1, กรุงเทพฯ: กนกบรรณสาร, 1996), หน้า 112.

14.พระคริสต์ธรรมคัมภีร์อมตธรรมร่วมสมัยฉบับค้นคว้า. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: องค์การอมตธรรม, 2011, หน้า 1995-1996.

15.พระคริสต์ธรรมคัมภีร์อมตธรรมร่วมสมัยฉบับอธิบายภาคพันธสัญญาใหม่. พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุงเทพฯ: องค์การอมตธรรม, 2013, หน้า 148-149.

16.พระคริสตธรรมคัมภีร์ “ชีวิตครบบริบูรณ์” ฉบับอธิบายฉบับภาษาไทย. พิมพ์ครั้งที่ 1. เกาหลีใต้: สำนักพิมพ์ไลฟ์พับลิชเชอร์อินเตอร์เนชั่นแนล, 2018, หน้า 1767.

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่