อ.ประยูร ลิมะหุตะเศรณี เทศนาบ่าย อา 18 ส.ค.19
คริสตจักรสันติสุข สมุทรปราการ
หนึ่งกายในพระคริสต์ ฟป2:1-11
เพราะฉะนั้น ในเมื่อมีความชูใจในความสัมพันธ์กับพระคริสต์ มีการปลอบโยนจากความรัก มีการสามัคคีธรรมกันจากพระวิญญาณ และมีความเห็นใจกันและความเมตตากรุณา 2ก็ขอให้ท่านทั้งหลายทำให้ความยินดีของข้าพเจ้าเต็มเปี่ยม ด้วยการมีความคิดอย่างเดียวกัน มีความรักอย่างเดียวกัน มีจิตใจและความคิดเป็นหนึ่งเดียวกัน 3อย่าทำสิ่งใดด้วยการชิงดีหรือถือดี แต่จงถือว่าคนอื่นดีกว่าตัวด้วยใจถ่อม 4อย่าให้ต่างคนต่างเห็นแก่ประโยชน์ของตนเอง แต่จงเห็นแก่ประโยชน์ของคนอื่นๆ ด้วย 5จงมีจิตใจเช่นนี้ในพวกท่านเหมือนอย่างที่มีในพระเยซูคริสต์ 6ผู้ทรงสภาพเป็นพระเจ้า ไม่ทรงถือว่าความทัดเทียมกับพระเจ้าเป็นสิ่งที่จะต้องยึดไว้ 7แต่ทรงสละพระองค์เองและทรงรับสภาพทาส ทรงถือกำเนิดเป็นมนุษย์ และทรงปรากฏอยู่ในสภาพมนุษย์ 8พระองค์ทรงถ่อมตัวลง ทรงยอมเชื่อฟังจนถึงความมรณา กระทั่งมรณาบนกางเขน 9เพราะฉะนั้นพระเจ้าจึงทรงยกพระองค์ขึ้นสูงสุด และประทานพระนามเหนือนามทั้งหมดแก่พระองค์ 10เพื่อที่ว่าเพราะพระนามของพระเยซูนั้น ทุกชีวิตในสวรรค์ บนแผ่นดินโลก และใต้พื้นแผ่นดินโลก จะคุกเข่าลงกราบพระองค์ 11และเพื่อที่ว่าทุกลิ้นจะยอมรับว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า เป็นการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าพระบิดา
จากเพลงนมัสการเน้ือหา “เพราะพระเจ้าอยู่ข้างเรา ไม่มีใครต้านทานเรา” ฟังแล้วมาคิดเรื่องในการเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันได้ เพราะพระเจ้าอยู่ข้างเรา ไม่มีใครมาต้านทานเราได้ ยกเว้นตัวเราเอง คริสเตียนพยายามเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันมานานแล้วผ่านการทำกิจกรรมร่วมกัน เช่น เล่นฟุตบอล หรือทำงาน รับใช้อื่นร่วมกัน แต่ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเป็นเรื่องลักษณะชีวิตที่มีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันตามแบบพระเยซู ไม่ใช่เกิดจากการทำกิจกรรมร่วมกันแม้กิจกรรมนั้นจะดี ไม่ใช่เกิดจากตามธรรมนูญ หรือตามบัญญัติของคริสตจักร
“หากเราต้องการเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เราต้องกำจัดตัวเองออกไป”
เพื่อไม่มีใครต้านทานความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน วันนี้เราจะมาดูพระธรรม ฟป2:1-11
ปัญหาของคริสเตียนในไทย เรื่อง ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน อีกอย่างคือ เรื่องการรักษาความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ทำไม่ค่อยได้
เวลาที่เรามาเป็นคริสเตียนแล้ว พระเจ้าใส่ให้เราเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันแล้วกับคริสเตียนคนอื่นๆ แต่ตัวเราต่างหากเป็นผู้ทำลายความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว กัน วันนี้เราต้องรักษาความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันด้วย ไม่ใช่เพียงแค่สร้างความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
ในอนาคตถ้าคริสเตียน ไม่รักษาความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันมันก็จะมีความแตกแยก แท้ที่จริงคริสเตียนมีศักยภาพในการเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน แต่เวลาอยู่ร่วมกันนานๆไป มีการนินทา มีการอิจฉากัน เห็นผู้รับใช้รวยแล้วอิจฉา แย่งลูกแกะกัน ยังมีอีกหลายๆสาเหตุมากมาย ที่ทำให้คริสเตียนเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันไม่ได้
พระธรรมฟีลิปปีที่เราอ่านไป ชี้ให้เห็นความจริงเรื่องความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน อ.เปาโลเขียนให้พี่น้องฟิลิปปี ข้อ 3 อย่าทำสิ่งใดด้วยการชิงดี เพราะมันทำลายความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ข้อ2 บอกว่ามีหัวเดียวกัน คือ พระเยซู
“ดังนั้นพื้นฐานของชีวิตคริสเตียน คือ ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เกิดขึ้นมาจาก”
1. มีความสัมพันธ์กับพระคริสต์ (ข้อ 1)
ถ้าจะเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับพี่น้องคนอื่นได้ จะต้องเริ่มมาจากการมีความสัมพันธ์กับพระเยซูคริสต์ เพื่อคุณจะเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับผู้เชื่อคนอื่นๆได้ ถ้าเราติดสนิทกับศรีษะได้ เราจะเป็นหนึ่งเดียวกับอวัยวะอื่นได้ แขน ขา อวัยวะต่างๆในร่างกาย รวมกับศรีษะได้เป็นหนึ่งเดียว เป็นร่างกายเดียว แม้แต่ละอวัยวะมีความแตกต่างกัน มีหน้าที่ต่างกัน อยู่ในตำแหน่งต่างกัน แต่เป็นร่างกายเดียว
2. มีสามัคคีธรรมกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ (ข้อ1ข)
ก็จะมีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ปัญหาของคริสตจักร เกิดขึ้นมากเมื่อไปสามัคคีธรรมกับคนแทนที่พระเจ้า เช่น สมาชิกไปสามัคคีธรรมกับศิษยาภิบาล คริสตจักรไม่ว่าจะเป็นคริสตจักรตัวเอง หรือต่างคริสตจักรก็จะเกิดปัญหา ไม่ให้ย้ายคริสตจักร หรือการแย่งลูกแกะกัน สำหรับพี่น้องที่อยู่ต่างคริสตจักรก็มีการย้ายคริสตจักรไปๆมาๆ บางครั้งก็ทำให้เกิดปัญหา แต่ถ้าเรามีความสัมพันธ์กับพระเยซู มีสามัคคีธรรมกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราจะเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันได้
ยน15:5 เราเป็นเถาองุ่น พวกท่านเป็นแขนง คนที่ติดสนิทอยู่กับเราและเราติดสนิทอยู่กับเขา คนนั้นจะเกิดผลมาก เพราะว่าถ้าแยกจากเราแล้วพวกท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย
คนที่ติดสนิทกับเราจะเกิดผลมาก พระเยซูเน้นความสัมพันธ์ เน้นให้แขนงทุกแขนงต้องติดกับเถา ต้องมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าเป็นการส่วนตัว ไม่ใช่ผ่านกิจกรรม ผ่านคริสตจักร ผ่านศิษยาภิบาล
ถ้าไม่มีสัมพันธ์กับพระเจ้าเป็นการส่วนตัว พระองค์จะไม่อยู่ด้วยกับเรา นี่เป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้นเราต้องรักษาความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันโดยมีความสัมพันธ์กับพระเยซูตลอดเวลา
อฟ5:18และอย่าเมาเหล้าองุ่นซึ่งจะทำให้เสียคน แต่จงเต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณ
เต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ แปลว่า ทุกลมหายใจเข้าออก เราดำเนินชีวิตอยู่ในพระคริสต์ตลอดเวลา พระวิญญาณบริสุทธิ์ควบคุมชีวิตของเราอยู่ ชีวิตของเราอยู่ใต้พระวิญญาณบริสุทธิ์ เวลาที่เราโกรธก็ขอให้พระเจ้าช่วยควบคุม
หลายอวัยวะแต่เป็นหนึ่งกายเดียวในพระคริสต์ พื้นฐานสำคัญ คือ การมีชีวิตกับพระเยซู สามัคคีธรรมกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราต้องมีความรับผิดชอบในเรื่องนี้ ไม่ใช่ให้ผู้นำรับผิดชอบเรื่องความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน แต่ให้ตาม พระคริสต์
3. อย่าทำสิ่งใดด้วยการชิงดี ต่างคนต่างเห็นแก่ประโยชน์ของตนเอง (ข้อ 3,5)
จิตใจเราต้องเหมือนพระเยซู เราจึงจะเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันได้แบบพระเยซู เอาจิตใจไม่ดีของเราออกไป เอาจิตใจดีของพระเยซูเข้ามา ยิ่งมีชีวิตแบบพระเยซู เท่าไหร่ ชีวิตเราก็เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันได้มากขึ้นเท่านั้น การเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว กันไม่ใช่เกิดจากการได้ประโยชน์ร่วมกันก็เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ไม่ใช่แบบนั้น แต่หมายถึง อย่างไรมาดูด้วยกัน
คนที่มีจิตใจแบบพระเยซูเป็นอย่างไร
ประการที่ หนึ่ง ไม่ทำสิ่งใดในการชิงดี ข้อ (3)
เราดำเนินชีวิตเหมือนพระเยซู พระองค์ไม่คิดชิงดีชิงเด่นกับใคร อัครสาวก เคยแย่งตำแหน่งกันว่าใครจะเป็นใหญ่กว่าใคร แต่พระเยซูสอนสาวกด้วยการล้างเท้า ด้วยการปรนนิบัติซิครับ ถ้าอยากมีจิตใจแบบพระเยซูให้ทำตามพระคัมภีร์ อย่าชิงดี ถือดี อย่าบอกว่าผมเทศน์ดีกว่าอาจารย์ท่านอื่น ที่ชิงดีเพราะไม่มีจิตใจเหมือนพระเยซู ขอให้ปรับปรุงแต่อย่าช้าเกินไป
การชิงดีเป็นอุปสรรคของการเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ทุกวันนี้สังคมให้คุณค่ากับคนที่ประสบความสำเร็จ เราเลยอยากเป็นคนสำเร็จบ้าง อยากได้ลาภ ยศ สรรเสริญบ้าง ทำให้เกิดการชิงดีชิงเด่นกัน พระคัมภีร์บอกว่าลาภ ยศ สรรเสริญเป็นอุปสรรคนำชีวิตไปสู่ความหายนะ สิ่งเหล่านี้ทำลายความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน แต่พระเยซูมาเพื่อช่วยให้คนดำเนินชีวิตอย่างถูกต้อง พระองค์ไม่ได้ต้องการอะไร พระองค์มารับโทษบาปความตายไปแทนพวกเราที่เป็นคนบาป
แม้แต่งานวงการกุศลซึ่งเป็นการงานที่ดี ก็ยังแย่งชิงกันทำดี ตัวอย่างที่เราเห็นจากมูลนิธิทำงานเก็บศพยังแย่งศพกัน มีการชิงดีชิงเด่นกันในทุกสถาบัน ทุกอาชีพมีการแก่งแย่งชิงดีกันทั้งนั้น จึงทำให้ไม่เกิดความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
พระเจ้าริเริ่มให้มีคริสตจักรในโลก เพื่อให้เป็นอณาจักรของพระเจ้าบนแผ่นโลก แผ่นดินของพระเจ้ามาตั้งอยู่ในแผ่นดินโลก พระเยซูอธิษฐานขอให้แผ่นดินของพระเจ้ามาตั้งอยู่ในโลก ลักษณะแผ่นดินของพระเจ้าเป็นเหมือนในสวรรค์แต่ให้มาตั้งอยู่ในโลก
วันนี้ที่ไหนบ้างในโลกนี้ ที่จะสามารถเป็นเหมือนสวรรค์ได้ มีสถาบันองค์กรไหนเป็นเหมือนสวรรค์ได้บ้าง มีแต่คริสตจักรของพระเจ้าเท่านั้นที่จะเป็นเหมือนสวรรค์ในแผ่นดินโลกได้ เพราะในสวรรค์ไม่มีการแตกแยก เพื่อว่าอิทธิพลน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ในสวรรค์จะมีผลต่อคริสตจักร และมีผลต่อทุกสถาบันในโลก
คนที่ไม่ได้เป็นคริสเตียน มีความแตกแยกกันอยู่แล้ว เพราะทุกคนเห็นแก่ตัว แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน ไม่มีชุมชนใดสามารถเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน แต่ปัญหาสังคมแตกแยกสาเหตุเพราะคริสตจักรไม่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน การเป็นน้ำหนึ่งใจเดีวกันต้องเริ่มที่คริสตจักร คริสตจักรต้องไม่ชิงดีชิงเด่นกันแต่ส่งเสริมกัน เริ่มจากผู้นำช่วยกันให้คนอื่นๆ ให้คริสตจักรอื่น สำเร็จได้อย่างไร เราต้องช่วยกันให้คนอื่นสำเร็จ ด้วยทรัพยากรที่เรามี
หากต้องการรักษาความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เราต้องไม่โจมตีจุดอ่อนของคนอื่นๆ เพราะทุกคนมีจุดอ่อน เราจะพูดทำไมถ้าไม่ช่วยให้เขาเจริญขึ้น
ประการที่ สอง จงถือว่าผู้อื่นดีกว่าตัวด้วยใจถ่อม
(ข้อ 3 ข)
เรื่องความถ่อมใจมีคนรู้เยอะมาก สอนกันเยอะมาก แต่ไม่มีใครทำจริงๆจังๆ ซักคน หลายคนฟังเรื่องความถ่อมใจจนเบื่อเรื่องความถ่อมใจไปแล้ว ส่วนนักเทศน์ก็ไม่อยากเทศน์เรื่องความถ่อมใจเพราะคนไม่อยากฟัง
ถ้าใจไม่ถ่อมไม่มีทางเห็นคนอื่นดีกว่าตน เราก็จะอวดตัวเองอยู่ดี แม้เราด้อยกว่าคนอื่นเราก็ยังหาทางยกหางตัวเองอยู่ดี ภรรยาบางคนคิดว่าตัวเองดีกว่าสามี เลยไม่ยอมเชื่อฟังสามี ส่วนสามีก็คิดว่าไม่มีใครโง่เท่าภรรยาตัวเองอีกแล้ว ดังนั้นหย่ิงด้วยกันทั้งคู่ สามีภรรยาพอกันทั้งคู่เรื่องไม่ถ่อมใจ
ความถ่อมใจเป็นคุณสมบัติชีวิต ดังนั้นความถ่อมใจจึงถ่อมใจกับทุกคน ไม่ใช่เลือกว่าจะถ่อมใจกับใคร ความถ่อมใจเริ่มต้นที่ครอบครัวก่อน ถ้าถ่อมใจไม่ได้ต่อคนใกล้ตัว ก็ไม่สามารถถ่อมใจกับคนอื่นได้
ลูกก็ไม่ถ่อมใจชอบเถียงเพราะเห็นพ่อแม่ไม่ถ่อมใจ ถามว่าลูกเรียนรู้จากใคร เรียนจากที่ไหน คำตอบ ลูกเรียนรู้จากพ่อแม่ ไม่ได้ไปเรียนจากไหน คนทุกวันนี้แตกแยก ไม่ลงรอยกันเพราะต่างคนต่างถือว่าตนเด่นกว่าคนอื่น เก่งกว่าคนอื่น
ลก18:9-14 สำหรับบางคนที่เชื่อมั่นในตัวเองว่าเป็นคนชอบธรรมและดูหมิ่นคนอื่นนั้น พระองค์ตรัสอุปมานี้ว่า 10“มีสองคนขึ้นไปอธิษฐานในบริเวณพระวิหาร คนหนึ่งเป็นฟาริสีและคนหนึ่งเป็นคนเก็บภาษี 11คนที่เป็นฟาริสีนั้นยืนอยู่คนเดียวอธิษฐานว่า ‘ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ขอบพระคุณพระองค์ที่ข้าพระองค์ไม่เหมือนคนอื่นที่เป็นคนฉ้อโกง เป็นคนอธรรม และเป็นคนล่วงประเวณี และไม่เหมือนคนเก็บภาษีคนนี้ 12ข้าพระองค์ถืออดอาหารสองวันต่อสัปดาห์ และสิ่งสารพัดที่ข้าพระองค์หาได้ ข้าพระองค์ก็เอาทศางค์มาถวายเสมอ’ 13ส่วนคนเก็บภาษีนั้นยืนอยู่แต่ไกล ไม่ยอมแม้แต่แหงนหน้าดูฟ้า แต่ตีอกชกตัวกล่าวว่า ‘ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงเมตตาแก่ข้าพระองค์ผู้เป็นคนบาปเถิด’ 14เราบอกพวกท่านว่า คนนี้แหละเมื่อกลับลงไปถึงบ้านของตนก็ถูกนับว่าเป็นคนชอบธรรม ไม่ใช่อีกคนหนึ่งนั้น เพราะว่าทุกคนที่ยกตัวขึ้นจะต้องถูกเหยียดลง แต่ทุกคนที่ถ่อมตัวลงจะได้รับการยกขึ้น”
พระเยซู ยกตัวอย่างเรื่องคำอธิษฐานของคนฟาริสี กับคนเก็บภาษีที่เป็นคนบาป สรุปว่าพระเจ้าไม่ฟังคนหยิ่ง คนหยิ่งถือว่าตัวเองดีกว่าคนอื่น พระเจ้าฟังคนถ่อมใจ
จำได้ไหมว่าเปโตรปฎิเสธพระเยซู ถึงสามครั้ง เปโตรเขายืนยันไม่มีทางที่เขาจะปฎิเสธพระองค์ ดังนั้นเขาเบาใจมากเวลาที่พระเยซูตาย เพราะเขาจะได้ไม่ต้องเผชิญหน้ากับพระเยซู แต่อีกใจหนึ่งพอพระเยซูเป็นขึ้นจากความตายเขาก็คงลำบากใจที่ต้องเจอกับพระเยซู แต่พระเยซูได้เจอกับเปโตร เวลานั้นแม้ผ่านเรื่องปฎิเสธพระองค์มาแล้ว พระเยซูพระองค์ถ่อมใจมากๆ ไม่แตะความผิดของเปโตรเลย ไม่ได้ถามเปโตรว่า “เป็นยังไงบ้างที่บอกว่าจะไม่ปฎิเสธเราตั้งสามครั้ง” แต่พระเยซูถามว่ายังรักเราอยู่หรือเปล่า ไม่พูดเรื่องเก่า ไม่ซ้ำความผิด ถ้ารักเรา เราไว้ใจเจ้า จงเลี้ยงแกะของเรา
ถ้าเราทำแบบพระเยซู จะเกิดความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันแน่นอน ถ้าเรามีความถ่อมใจเหมือนพระเยซู พระเจ้าจะตรัสกับคุณ คุณจะดีขึ้น คุณจะเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันได้กับพี่น้องคนอื่นๆ พระเจ้ามีความหวังในคุณจึงได้ตรัสกับคุณ
ประการที่ สาม เห็นแก่ประโยชน์ของผู้อื่น (ข้อ 4)
พระเยซูมาในโลกนี้เพื่อเห็นแก่คนอื่น สามีเห็นประโยชน์แก่ภรรยา เห็นแก่ครอบครัว เห็นแก่พระเยซูที่สิ้นพระชนม์เพื่อเรา ไม่ใช่ตั้งคำถามว่า “ทำอะไรแล้วจะได้อะไร” ไปประชุมแล้วได้อะไร ถวายแล้วจะได้อะไร รับใช้แล้วจะได้อะไร
2คร5:15 และพระองค์สิ้นพระชนม์เพื่อทุกคน เพื่อบรรดาคนที่มีชีวิตอยู่จะไม่อยู่เพื่อตัวเองอีกต่อไป แต่จะอยู่เพื่อพระองค์ที่สิ้นพระชนม์ และทรงเป็นขึ้นมาเพราะเห็นแก่เขาทั้งหลาย
พระคัมภีร์บอกว่าให้เราอยู่เพื่อพระคริสต์ ไม่ใช่ให้พระคริสต์อยู่เพื่อเรา เพื่ออวยพรเรา เพื่อประโยชน์ของเรา
เวลาจะทำอะไรต้องคิดว่า จะมีใครเดือดร้อนไหม ใครได้รับประโยชน์บ้าง อะไรเป็นประโยชน์ก็ยินดีทำเพื่อคนอื่น ให้มีน้ำใจเหมือนพระคริสต์ ไม่เห็นแก่ตัว อย่าเห็นแก่ประโยชน์คริสตจักรของตัวเองอย่างเดียว แต่อยู่เพื่ออณาจักรพระเจ้า ไม่ใช่เพื่อคณะนิกายของตนอย่างเดียว
ถ้าเราอยู่เพื่อแผ่นดินของพระเจ้า พระเจ้าจะให้ทุกอย่างกับเราเพื่อทำให้อาณาจักรของพระเจ้าเจริญรุ่งเรือง พระเจ้าไม่งกกับคุณ เพราะคุณอยู่เพื่อแผ่นดินของพระเจ้า ให้เราร่วมมือกับคนอื่นไม่ใช่ให้คนอื่นมาร่วมมือกับเราอย่างเดียว ทั้งขึ้นทั้งร่องคนอื่นผิดหมด ไม่เห็นความผิดของตนเอง
ประการที่สี่ ห่วงไยคนอื่น (ข้อ4-5)
มีน้ำใจ ห่วงไย เพื่อคนอื่น
มธ9:35-38 พระเยซูจึงทรงดำเนินไปตามเมืองและหมู่บ้านโดยรอบ ทรงสั่งสอนในธรรมศาลาของเขาทั้งหลาย ทรงประกาศข่าวประเสริฐเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า ทรงรักษาโรคและความเจ็บป่วยทุกอย่างให้หาย 36และเมื่อพระองค์ทอดพระเนตรฝูงชนก็ทรงสงสารเขาทั้งหลาย เพราะพวกเขาถูกรังควานและไร้ที่พึ่ง เหมือนฝูงแกะไม่มีผู้เลี้ยง 37แล้วพระองค์ตรัสกับสาวกทั้งหลายของพระองค์ว่า “ข้าวที่ต้องเกี่ยวนั้นมีมากนักหนา แต่คนงานยังน้อยอยู่ 38เพราะฉะนั้นท่านจงอ้อนวอนพระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าของนา ให้ทรงส่งคนงานมาเก็บเกี่ยวพืชผลของพระองค์”
พระเยซูสงสารคนที่ยากลำบาก เดือดร้อน อธิษฐานขอให้พระเจ้าส่งคนมาช่วยคนที่เดือดร้อน การช่วยเหลือคนเดือดร้อนไม่ค่อยมีใครอยากจะทำ เพราะทำแล้วไม่ได้รับการตอบแทนอะไร มีแต่ต้องจ่าย มีแต่ต้องเสียสละ ชาวสะมาเรียใจดีช่วยคนบาดเจ็บต้องจ่ายราคาเอง ช่วยคนเดือดร้อนจนพ้นความเดือดร้อน แต่ถ้าเราห่วงไยแต่ตัวเองแล้วเรียกร้องให้คนอื่นห่วงไยเรา นี่ก็จะทำให้มีแต่ปัญหาตลอดเวลา แต่ถ้าเราอธิษฐานกับพระเจ้า พระองค์จะดูแลเราเอง
การห่วงไยคนอื่น ทำให้เราต้องเสียสละเวลา ต้องเสียสละเงินทองทรัพย์สิน ต้องเสียสละแรงกายแรงงานลงมือ เรียนรู้จากชาวสะมาเรียใจดี เรายินดีเสียสละเพื่ออวัยวะของพระกายพระคริสต์
ประการที่ ห้า ถวายเกียรติยศแด่พระเจ้า (ข้อ9-11)