.ประยูร ลิมะหุตะเศรณี  อาทิตย์บ่ายที่ 14 .. 2019

คริสตจักรใจสมานรามคำแหง

เทศนางานไว้อาลัย   2คร5:6-9  ยิ่งใกล้ยิ่งดี

6เพราะฉะนั้นเรามั่นใจอยู่เสมอและรู้แล้วว่า ขณะที่อาศัยอยู่ในร่างกายนี้ เราอยู่ห่างจากองค์พระผู้เป็นเจ้า 7เพราะว่าเราดำเนินโดยความเชื่อ ไม่ใช่โดยสิ่งที่มองเห็น 8และเรามั่นใจและพอใจที่จะไปจากร่างกายนี้และอาศัยอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้ามากกว่า 9ฉะนั้นเราตั้งเป้าว่าจะอาศัยอยู่ในกายนี้ก็ดีหรือจะจากไปก็ดี เราก็จะเป็นคนที่พระเจ้าพอพระทัย

คำนำ

คนเราไม่ค่อยอยากเจอเรื่องความตาย หรือเจอเรื่องการจากไปของคนที่รัก แต่นี่เป็นสัจจธรรมความจริงของชีวิต ที่ทุกคนต้องจากโลกนี้ไป ความตายของคนที่เรารักจากไป ทำให้คนเราแสวงหาคำตอบที่ต้องการจะหลุดพ้นจากความเศร้าโศรกเสียใจเช่นนี้ ความจริงที่เราได้รู้จักพระเจ้า ทำให้เราสามารถก้าวพ้นจากความเศร้าโศรก ผ่านความเชื่อพระเจ้า

คริสเตียนทุกคนมีความใฝ่ฝันอย่างยิ่งที่จะได้พบพระเจ้า คริสเตียนอยากนมัสการพระเจ้า อยากให้พระเจ้าสถิตย์อยู่ด้วยกับชีวิต เวลาที่เฝ้าเดี่ยวก็อยากพบพระเจ้าจริงๆ

คริสเตียนหรือผู้เชื่อที่จากโลกนี้ไป จะไปถึงพระเจ้าอย่างแน่นอน พระธรรม 2คร5:6-9 ได้ให้ความมั่นใจกับคริสเตียน หรือกับผู้เชื่อ

คำปลอบใจสำหรับญาติ คือ ขอแสดงความเสียใจด้วย แต่พระคัมภีร์ตอนนี้บอกว่าการอยู่ใกล้พระเจ้าเป็นสิ่งที่ดี

การได้อยู่ใกล้คนที่รักเป็นส่ิงที่ดี อะไรจะดีไปกว่านี้อีก คือ มีคนรักเรา ยอมเสียสละชีวิตเพื่อเรา ให้กำลังใจเรา ยกโทษให้เรา

เราอยากอยู่ใกล้กับคนที่รักเรา 

นี่เป็นความรักของพระเจ้า พระองค์รักเราแบบนี้ เราอยากอยู่ใกล้พระเจ้า อย่างมาก แต่ร่างกายในฝ่ายกายภาพนี้ทำให้เราห่างไกลจากพระเจ้า คริสเตียน เวลาที่ไปนมัสการพระเจ้าดูเหมือนเป็นการแสวงหาการใกล้ชิดพระเจ้ามากขึ้น เวลาที่มาคริสตจักร แต่หลายคนเวลานมัสการพระเจ้าอยู่ที่บ้านรู้สึกห่างไกลจากพระเจ้ามาก

คนที่จากไปแล้วเขาได้ไปอยู่ใกล้ชิดพระเจ้าแล้ว  เขาได้ไป ได้อยู่ตามที่ใจปรารถนา คือ อยู่ใกล้ชิดกับพระเจ้า เขาชื่นชมยินดีที่ได้อยู่ใกล้พระบาทพระเจ้า คริสเตียนเราเชื่อแบบนี้ ผู้เขียนพระคัมภีร์ตอนนี้ก็บอกเช่นนั้น ร่างกายที่เราอาศัยอยู่ในปัจจุบันนี้ไม่สามารถใกล้ชิดพระเจ้าได้ ร่างกายนี้ทำให้เราไปไม่ถึงความใกล้ชิดพระเจ้า

ถามอีกครั้งว่าคนที่จากไปแล้วเขาอยากจะกลับมาในโลกนี้อีกไหม เขาจะตอบว่าไม่อยากกลับมา เขาก้าวไปสู่อีกระดับหนึ่งของความเชื่อ ชีวิตกับความตายเป็นเรื่องต่อเนื่องกัน ความตายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เราต้องก้าวข้ามจากชีวิตฝ่ายร่างกายไปสู่ชีวิตฝ่ายวิญญาณ คนไทยเรียกว่าตาย แต่พระคัมภีร์ ไม่ได้ให้ ความรู้สึกว่าความตายเป็นเรื่องน่ากลัว

วีรบุรุษแห่งความเชื่อมากมาย ไม่ได้กลัวเรื่องความ เช่น โยบก็ขอให้พระเจ้า รับไปอยู่กับพระเจ้า  เพื่อให้เขาพ้นจากความทุกข์ยากเจ็บปวด ถ้าเรารู้สัจธรรมของพระเจ้า เราจะเรียนรู้การดำเนินชีวิตในปัจจุบันให้มีผลต่อชีวิตหลังความตาย

ตอนเรามีชีวิตอยู่ในมิติฝ่ายกายภายหรือในฝ่ายร่างกายนี้ ส่ิงต่างๆ ในฝ่าย กายภาพไม่สามารถนำไปใช้ได้ในชีวิตหลังความตายได้เลย ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินเงินทอง ความสามารถ

บางคนก็เชื่อเรื่องว่าความตายที่เกิดขึ้นเป็นไปตามกรรม แต่ถ้าคิดดูให้ดีเราทำกรรมมากกว่าทำบุญอย่างแน่นอน เราต้องไปชดใช้กรรมหลังความตาย แต่พระเจ้าที่เรารู้จักจะดูแลและรับผิดชอบชีวิตของเราหลังความตาย พระเจ้าผู้เป็นคนที่รักเรา และเรารู้จัก นั่นคือ พระเจ้า เรามีความสัมพันธ์กับพระองค์ตั้งแต่ที่เรามีชีวิตอยู่ เราจึงไม่ต้องห่วงชีวิตหลังความตาย เราไม่ต้องกังวลเรื่องชีวิตหลังความตาย หลังจากที่วิญญาณเราออกจากร่างกายนี้จะไปอยู่ใกล้พระเจ้า ซึ่งดีกว่าการ มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ดังนั้นการตายก็ได้กำไร

ญาติมิตรไม่ต้องกังวลสำหรับผู้จากไปแล้ว ท่านได้จากไปอยู่กับพระเจ้าแล้ว นั่นเป็นช่วงที่ดีที่สุด ดีมากกว่าชีวิตในโลกนี้ ท่านได้ไปอยู่ในสถานที่ดีที่สุดแล้ว ท่านได้ไปอยู่กับผู้ที่ดีที่สุดแล้ว

คนเรามีความจำกัดมากโดยเฉพาะชีวิตหลังความตาย แต่เราจะเฉลิมฉลอง อีกครั้งกับผู้ที่จากไปก่อนเราในวันที่เราจะไปเจอเขาอีกครั้ง  เพราะ

ยน3:16 พระเจ้าทรงรักโลกดังนี้ คือได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์ 

พระเจ้าจัดเตรียมชีวิตนิรันดร์ให้กับเรา พระเจ้าเตรียมให้เราอย่างดี เตรียม ให้อย่างซะใจก็แล้วกัน  เราอาจจะเศร้าได้เมื่อคนรักจากไป แต่ขอให้รักษาสุขภาพให้ดี ดำเนินชีวิตต่อไปให้พระเจ้าพอพระทัย ชีวิตของเรากับผู้ที่จากไปช้าเร็ว ก็ห่าง กันไม่กี่ก้าว ก็จะได้พบกันอีกครั้งหนึ่ง

ให้เราร่วมใจอธิษฐาน

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่