อ.ประยูร ลิมะหุตะเศรณี เทศนาบ่าย อา 28 เม.ษ.19
คริสตจักรทวีวัฒนา
2คร5:6-11 ชีวิตที่เกรงกลัวพระเจ้าอย่างจับใจ
เพราะฉะนั้นเรามั่นใจอยู่เสมอและรู้แล้วว่า ขณะที่อาศัยอยู่ในร่างกายนี้ เราอยู่ห่างจากองค์พระผู้เป็นเจ้า 7เพราะว่าเราดำเนินโดยความเชื่อ ไม่ใช่โดยสิ่งที่มองเห็น 8และเรามั่นใจและพอใจที่จะไปจากร่างกายนี้และอาศัยอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้ามากกว่า 9ฉะนั้นเราตั้งเป้าว่าจะอาศัยอยู่ในกายนี้ก็ดีหรือจะจากไปก็ดี เราก็จะเป็นคนที่พระเจ้าพอพระทัย 10เพราะว่าเราทุกคนจำเป็นต้องปรากฏตัวต่อหน้าบัลลังก์ของพระคริสต์ เพื่อแต่ละคนจะได้รับสิ่งที่สมกับการกระทำในกายนี้ ไม่ว่าจะดีหรือชั่ว 11เพราะฉะนั้น ในเมื่อเรารู้จักเกรงกลัวองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว เราจึงชักชวนคนทั้งหลาย เราเป็นอย่างไรก็ปรากฏชัดต่อพระเจ้า และข้าพเจ้าหวังว่าจะปรากฏชัดต่อมโนธรรมของท่านด้วย
คริสเตียนเป็นชีวิตที่ทำให้เราสามารถเรียนรู้ที่จะเกรงกลัวพระเจ้าอย่างจับใจได้ โดยปกติธรรมชาติของมนุษย์ เรามีความเกรงกลัวใคร หรืออะไรก็ตามที่เราสู้ไม่ได้ หรือส่ิงนั้นจะทำร้ายเราโดยที่เราไม่มีพลังต่อต้านหรือต่อสู้ได้เราก็จะเกรงกลัว หรือคนที่จะช่วยเราได้เวลาที่เรายากลำบากเราก็จะเกรงกลัวเขาเพราะกลัวเขาไม่ช่วยเวลาเรายากลำบาก คนไทยกลัวอะไรที่มองไม่เห็น เช่น สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ไหว้หมด
พอเรามาเป็นคริสเตียน แทนที่จะเกรงกลัวพระเจ้า เรากลับไปกลัวอย่างอื่นมากกว่าพระเจ้า เช่น กลัวหัวหน้างานเพราะจะทำให้เราตกงาน เราให้ความกลัวในสิ่งเหล่านั้นมากำหนดชีวิตเรา ทำให้เรารู้สึกมีชีวิตไม่มั่นคงในอนาคต แม้อุปสรรคเหล่านั้นจะขัดขวางเราไม่ให้มาหาพระเจ้า หรือไม่เติบโตในทางพระเจ้า
เราก็กลับไปเกรงกลัวส่ิงเหล่านั้นมากกว่าเกรงกลัวพระเจ้า
เราถูกค่านิยมของโลกทำให้เรากลัว เรากลัวคนที่ทำให้เรามีชีวิตไม่มั่นคง วันนี้ต้องถามว่าเราเกรงกลัวใคร ชีวิตเราขึ้นอยู่กับใคร ชีวิตเราอยู่ในมือใคร ใครเป็นคนกำเศรษฐกิจในชีวิตเรา หากความมั่นคงในชีวิตของเราอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า เราไม่ต้องกลัวอะไรรอบตัวเลย โดยเฉพาะการหลอกลวงของสังคม ที่อยู่บนลาภ ยศ สรรเสริญ คริสเตียนมีชีวิตอยู่ในหัตถ์ของพระเจ้าผู้เดียวเท่านั้น ไม่มีใครชิงเราไปจากพระหัตถ์ของพระเจ้าได้
เราจึงควรเกรงกลัวพระเจ้ามากกว่าเกรงกลัวสิ่งอื่นที่ไม่ใช่พระเจ้า
แต่ทำไมคริสเตียน ไม่เกรงกลัวพระเจ้า อย่างที่ควรจะเป็น ข้อ 11เพราะฉะนั้น ในเมื่อเรารู้จักเกรงกลัวองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว เราจึงชักชวนคนทั้งหลาย เราเป็นอย่างไรก็ปรากฏชัดต่อพระเจ้า และข้าพเจ้าหวังว่าจะปรากฏชัดต่อมโนธรรมของท่านด้วย
พระคัมภีร์ตอนนี้บอกว่าเปาโลเกรงกลัวพระเจ้า อย่างจับใจ จึงชักชวนคนทั้งหลายให้เป็นเหมือนอ.เปาโล ท่านไม่มีอะไรปิดบังคนอื่น ท่านเลียนแบบ ขอให้พี่น้องที่โครินทร์ทำตามแบบ ที่ท่านตามแบบพระคริสต์
ข้อ10 เพราะว่าเราทุกคนจำเป็นต้องปรากฏตัวต่อหน้าบัลลังก์ของพระคริสต์ เพื่อแต่ละคนจะได้รับสิ่งที่สมกับการกระทำในกายนี้ ไม่ว่าจะดีหรือชั่ว
อนาคตของเราต้องปรากฎตัวต่อหน้าบัลลังค์พระคริสต์ อนาคตเราขึ้นอยู่กับพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว ในการพิจารณาชีวิตคริสเตียน พระเจ้ามีการพิพากษาตามที่เราได้ประพฤติในร่างกายนี้ ไม่ว่าจะดีหรือชั่ว
หลายคนคิดว่าสารภาพบาปในช่วงสุดท้ายของชีวิตก็รอดจากการประพฤติผิดที่ผ่านมาทั้งหมด พวกที่คิดแบบนี้เป็นพวกหัวหมอ
พระเจ้าจะพิจารณาเราในแต่ละวันแต่ละก้าวตลอดชีวิตของเราไม่ใช่เฉพาะเวลาที่เราใกล้ตาย
เปาโลบอกว่าการมีชีวิตอยู่ในร่างกายนี้ห่างไกลจากพระเจ้า มันอยู่ไกล
ข้อ6 เพราะฉะนั้นเรามั่นใจอยู่เสมอและรู้แล้วว่า ขณะที่อาศัยอยู่ในร่างกายนี้ เราอยู่ห่างจากองค์พระผู้เป็นเจ้า
ข้อ 7 เพราะว่าเราดำเนินโดยความเชื่อ ไม่ใช่โดยสิ่งที่มองเห็น
ในความเชื่อเราเชื่อว่าพระเจ้า เข้ามาอยู่ในชีวิตของเรา แต่มิติชีวิตฝ่ายวิญญาณ มีสองขั้นตอน คือ ความเชื่อที่อยู่ในมิติกายภาพ อีกขั้นหนึ่งคือ ความเชื่อที่เราออกจากกายดินแล้ว
ข้อ8 และเรามั่นใจและพอใจที่จะไปจากร่างกายนี้และอาศัยอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้ามากกว่า
เรามั่นใจ และอยากไปอยู่กับพระเจ้า มากกว่าอยู่ในร่างกายนี้ที่ยังมีระยะห่างกับพระเจ้ามากเมื่อเปรียบเทียบที่เป็นวิญญาณ หากเปาโลเลือกได้ท่านอยากออกจากร่างกายไปอาศัยกับพระเจ้ามากกว่า อยู่ในร่างกายนี้
ข้อ9 ฉะนั้นเราตั้งเป้าว่าจะอาศัยอยู่ในกายนี้ก็ดีหรือจะจากไปก็ดี เราก็จะเป็นคนที่พระเจ้าพอพระทัย
เปาโลตั้งเป้าไม่ว่าจะอาศัยในร่างกายนี้ หรือไปอยู่กับพระเจ้า ก็ขอให้เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า เปาโลพิจารณาทุกลมหายใจให้เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า คริสเตียน เรารู้เรื่องนี้แต่เราทำไหม เรื่องนี้ขึ้นอยู่ที่เราแต่ละคน บางคนชะล่าใจ ไม่ดำเนินชีวิตโดยไม่คำนึงถึงพระทัยพระเจ้า คิดว่าแค่เราไม่ทำสิ่งผิดกฎหมาย สิ่งที่ผิดศิลธรรม ก็พอพระทัยพระเจ้าแล้ว
คำถาม พระเจ้าตายเพื่อเราให้เราทำแค่นี้หรือ ถ้าเรายังไม่รู้น้ำพระทัยแล้วเราจะทำตามน้ำพระทัยได้อย่างไร อะไรทำให้เราไม่แสวงหาพระเจ้า คำตอบคือ เพราะเราไม่เกรงกลัวพระเจ้าอย่างที่พระองค์เป็น หากเราเกรงกลัวพระเจ้า เราจะถามว่าพระเจ้าจะคิดว่าไงในเรื่องต่างๆที่เราคิด เพราะทุกๆ ความคิดพระเจ้า จะนำไปพิจารณาพิพากษาในวันสุดท้าย
คริสเตียนต้องจริงจังในการดำเนินชีวิต หากเราไม่สนใจพระทัยพระเจ้า ทำตามแต่ใจตนเอง เราต้องระวังให้ดี
จำคำอุปมาของพระเยซูได้ไหม พระองค์ บอกว่าเราไม่พบเจ้าที่คุกเลย แต่เราตอบว่าผมไปนมัสการพระองค์ที่คริสตจักรนะครับ ถึงวันนั้นเราจะงงๆๆ ต่อคำถามของพระเยซู
ในด้านศาสนศาสตร์ พระเจ้าทรงสถิตย์อยู่ทุกหนทุกแห่ง แต่วันพิพากษาพระเจ้า จะถามว่าทำไมเจ้าไม่ให้เรากิน ทำไมเจ้าไม่ไปเยี่ยมเราในคุก เราจะงง และถามกลับว่าเราไม่ทำตั้งแต่เมื่อไหร่
เราต้องเรียนรู้จักน้ำพระทัยพระเจ้าชัดเจน ถูกต้อง ครบถ้วน ไม่มีพระคัมภีร์ ตอนไหนตอนเดียวที่บอกครบ ดังนั้นเราต้องศึกษาให้ชัดเจน ถูกต้อง ครบถ้วนจากพระคัมภีร์ทั้งเล่ม
การรู้น้ำพระทัยพระเจ้าทำให้เราเกรงกลัวพระเจ้า
เมื่อถึงวันที่พระคริสต์กลับมาเราจะสบายใจ เพราะพระเจ้ารู้จักเรา ไม่ใช่พระเจ้าบอกว่าเราไม่รู้จักเจ้า คำตอบนั้นขึ้นอยู่กับว่า เราทำอะไรในวันนี้
1ธส4:1-8 ประเด็นของพระคัมภีร์เรื่องความบริสุทธิ์ เรื่องเพศ พี่น้องชาวเธสะโลนิกาดำเนินชีวิตเป็นแบบอย่างดีมากในทุกเรื่อง แต่มีปัญหาเรื่องเพศ เปาโลจึงเน้นให้ดำเนินชีวิตให้ดียิ่งขึ้น เธสะโลนิกาเป็นแม่แบบในการดำเนินชีวิตคริสเตียนให้กับคริสเตียนในสมัยนั้น
เราควรดำเนินชีวิตด้วยความเกรงกลัวพระเจ้าอย่างจับใจ แต่ความจริงคือเราใช้ชีวิตหลวมเกินไป ไม่จริงจังในเรื่องความบาป ไม่กลัวเรื่องการพิพากษา หนุนใจเราขอให้บาปของเราจบไปตั้งแต่วันที่เราเชื่อ เรากลับใจใหม่ เราไม่ทำบาปอีกต่อไป เราน่าจะอธิษฐานถามพระเจ้า ในทุกๆก้าว ที่เราแสวงหาพระเจ้า ในการดำเนินชีวิต ขอให้จริงจังกับชีวิตในพระคริสต์
“เกรงกลัว” มีความหมาย ในภาษาไทยอีกคำ คือ “ยำเกรง” สัมพันธ์กับคำว่า “ปัญญา” สภษ9:10 ความยำเกรงพระเจ้า เป็นจุดเริ่มต้นของปัญญา
ถ้าเราไม่จริงจังกับวิถีของพระเจ้า เราโง่มาก โง่มากที่คิด พูด หรือทำ โดยไม่มี ความยำเกรงพระเจ้า
สดด111:10 ความยำเกรงพระยาห์เวห์เป็นที่เริ่มต้นของสติปัญญาบรรดาผู้ที่ปฏิบัติตามก็ได้ความเข้าใจดี การสรรเสริญพระองค์ดำรงอยู่เป็นนิตย์
ความยำเกรงพระเจ้า เป็นที่เริ่มต้นของสติปัญญา บรรดาผู้ที่ปฎิบัติตาม ก็ได้ความเข้าใจดี ทำให้ไม่เลิกในสิ่งท่ีรับใช้อยู่ เช่น พระคัมภีร์สอนเราให้รักศัตรู ให้เขากิน ถ้าเราทำด้วยความยำเกรงพระเจ้า เราจะเข้าใจว่าพระเจ้าให้เราทำทำไม เราเกิดปัญญา เราจะไม่เลิกรับใช้
เราเสียเวลากับการเป็นคริสเตียนนานมากแค่ไหน เทียบกับอัตราความโง่ที่เรามีอยู่ ทุกวินาทีเราต้องยำเกรงพระเจ้า
การนมัสการพระเจ้าไม่น่าเบื่อ ถ้าเราเข้าใจการนมัสการมันจะไม่เบื่อ ไม่เหนื่อย เริ่มต้นมาจากการยำเกรงพระเจ้า
กจ4:18-20 พวกเขาจึงเรียกเปโตรและยอห์นมา แล้วสั่งไม่ให้พูดหรือสอนออกพระนามของพระเยซูอีก 19แต่เปโตรกับยอห์นกล่าวตอบพวกเขาว่า “เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเราควรเชื่อฟังพวกท่านหรือควรเชื่อฟังพระเจ้า ขอพวกท่านพิจารณาดู 20เพราะเราไม่สามารถหยุดพูดในสิ่งที่ได้เห็นและได้ยิน”
เปโตรที่เคยปฎิเสธพระเยซู พอเขายำเกรงพระเจ้า เขาเข้าใจ เขาปฎิบัติได้อย่างถูกต้อง เปโตรไม่กลัวความตายอีกต่อไป เพราะความมั่นคงอยู่ที่พระเยซู เท่านั้น เขายำเกรงพระเจ้า มากกว่ามนุษย์
ลักษณะคนที่ยำเกรงพระเจ้า
1.เชื่อฟังพระเจ้า เหมือนกับลูกที่เชื่อฟังบิดา
1ปต1:14 เช่นเดียวกับบุตรที่เชื่อฟัง อย่าประพฤติตามกิเลสตัณหา อันเกิดจากความโง่เขลาของพวกท่านในอดีต
ในพระธรรมปฐมกาล22: อับราฮัมพูดกับอิสอัคไปถวายบูชาด้วยกัน ลูกเขาเชื่อฟังทุกขั้นตอน แม้ว่าไม่เห็นแกะอิสอัคก็เชื่อฟัง เราต้องเชื่อฟังพระเจ้า ด้วยความไว้วางใจพระองค์ ไม่มีเงื่อนไข เหมือนบุตรที่เชื่อฟังบิดา
1ปต1:21โดยทางพระองค์ พวกท่านจึงวางใจในพระเจ้า ผู้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย และประทานพระสิริแก่พระองค์ เพื่อให้ความเชื่อและความหวังของพวกท่านอยู่ในพระเจ้า
โดยทางพระองค์ ท่านจึงเชื่อวางใจพระเจ้า เพื่อให้ความเชื่อและความหวังในพระเจ้า มาจากการเชื่อฟังด้วยความไว้วางใจเหมือนบุตรที่เชื่อฟัง ไม่ต้องลังเล รีรอ หาเหตุผล หาตรรกะ พยายามมาอธิบายเพื่อจะเชื่อฟัง ถ้าเราเกรงกลัวพระเจ้า อย่างแท้จริง เราจะทำได้ เราจะเชื่อฟังได้
อย่ารับใช้เพราะกลัวศิษยาภิบาล กลัวผู้ปกครอง หรือกลัวคนอื่นเราถึงทำ แต่ขอให้ยำเกรงพระเจ้า และเชื่อฟัง
2.อย่าประพฤติตามกิเลศตัณหาอันเกิดจากความโง่เขลาในอดีต
คุณจะหยุดพฤติกรรมกิเลศตัณหาทุกอย่างได้ ถ้าคุณยำเกรงพระเจ้า ไม่ว่ากิเลสตัณหานั้นจะเกิดจากภายในของตนเอง หรือคนอื่นกระตุ้นเรา อย่าโง่
พระเจ้าให้เราเป็นคนที่กระทำดี ไม่ใช่เป็นคนที่ตอบสนองการบาป บาปมันโง่ บาปมันสกปรก บาปมันแย่ เราจึงไม่ควรข้องแวะกับความบาป
เพราะเรายำเกรงพระเจ้า เราจึงไม่ตอบสนองตามกิเลศตัณหา หรือตามความบาป
ความบาปอาจทำให้สุขใจได้บ้าง ชั่วครั้งชั่วคราว แต่ไม่มีสาระทางจิตวิญญาณ คนที่มีปัญญาจะแยกแยะได้ว่าอะไรมีสาระ อะไรไม่มีสาระ เรายำเกรงพระเจ้า เราจะมีปัญญา แยกแยะเนื้อหาออกจากสาระได้
อย่าให้พระเยซู กลับมาแล้วบอกว่าไม่รู้จักเรา มธ7:21-23 “ไม่ใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า’ จะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา ผู้สถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้ 22เมื่อถึงวันนั้นจะมีคนจำนวนมากร้องแก่เราว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์ได้เผยพระวจนะในพระนามของพระองค์ และได้ขับผีออกในพระนามของพระองค์ และได้ทำการแห่งฤทธานุภาพมากมายในพระนามของพระองค์ไม่ใช่หรือ?’ 23เมื่อนั้นเราจะกล่าวแก่พวกเขาว่า ‘เราไม่เคยรู้จักพวกเจ้าเลย เจ้าผู้ทำความชั่ว จงไปเสียให้พ้นหน้าเรา’
ผู้ทำตามพระทัยพระทัยพระเจ้า จะเข้าในสวรรค์ได้ คือ ผู้ที่เกรงกลัวพระเจ้า อย่างจับใจ
อฟ2:2-3 เมื่อก่อนพวกท่านเคยดำเนินชีวิตในการบาปนั้นตามวิถีของโลกนี้ ตามผู้ครอบครองที่มีอำนาจในฟ้าอากาศ คือวิญญาณที่ทำกิจอยู่ในพวกคนที่ไม่เชื่อฟังในเวลานี้ 3เมื่อก่อนเราทุกคนเคยประพฤติเหมือนพวกเขาตามตัณหาของเนื้อหนัง คือทำตามความต้องการของเนื้อหนังและของความคิด โดยวิสัยแล้วเราจึงเป็นคนที่สมควรได้รับการลงโทษเหมือนอย่างคนอื่นๆ
เมื่อก่อนทำตามบาปสมควรรับการลงโทษ แต่วันนี้ไม่ใช่แล้ว
อฟ5:15 เพราะฉะนั้น จงระวังในการดำเนินชีวิตให้ดี อย่าเหมือนคนไร้ปัญญา แต่ให้เหมือนคนมีปัญญา
จงระวังในการดำเนินชีวิตให้ดี ให้มีปัญญา เราจะดำเนินได้อย่างไรถ้าเราไม่ดำเนินชีวิตในการเพิ่มพูนปัญญา คือ เริ่มต้นจากความยำเกรงพระเจ้า ต่อให้รับใช้พระเจ้า เกิดผลมากมาย พระเจ้า บอกไม่รู้จักเรา ถ้าเราไม่ยำเกรงพระเจ้า
ต้องระวังในการดำเนินชีวิตด้วยปัญญาของพระเจ้า ยำเกรงพระเจ้า
1ปต1:15-16 แต่พระองค์ผู้ทรงเรียกพวกท่านนั้นบริสุทธิ์อย่างไร พวกท่านเองก็จงเป็นคนบริสุทธิ์ในชีวิตทุกด้านอย่างนั้น 16เพราะมีคำเขียนไว้แล้วว่า “พวกท่านจงเป็นคนบริสุทธิ์ เพราะเราเองบริสุทธิ์”
ชีวิตจะบริสุทธิ์เหมือนที่พระเจ้าบริสุทธิ์ เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า