สอน 7 หลังเทศน์อาทิตย์ 17 มี.ค. 19
หากที่ผ่านมาเราดำเนินชีวิตห่างจากมาตรฐานของพระเจ้าอย่างมาก เราต้องปรับปรุง แต่ขอให้อย่าท้อใจ กิจการทุกอย่างจะสำเร็จได้ด้วยฤทธิ์เดชของพระเจ้า เพื่อให้เราเป็นลูกของกิจการแห่งความเชื่อทุกอย่าง ขอให้ตั้งใจดำเนินชีวิตตามความสว่างก็พอ พระเจ้ามีฤทธิ์เดชมีเพียงพอสำหรับเราในการดำเนินชีวิต ขอให้ตั้งใจดำเนินชีวิตตามพระวจนะ พระเจ้าอยากให้เราเกิดผล เมื่อเราหว่านเราจะเก็บเกี่ยวในเวลาที่สมควร หว่านอย่างหนึ่งแต่ไปหวังจะเก็บเกี่ยวอีกสิ่งหนึ่งไม่ได้
กท6:9-10 อย่าให้เราเมื่อยล้าในการทำดี เพราะว่าถ้าเราไม่ท้อใจแล้ว เราก็จะเก็บเกี่ยวในเวลาอันสมควร 10เพราะฉะนั้นเมื่อเรามีโอกาส ให้เราทำดีต่อทุกคน และเฉพาะอย่างยิ่ง ต่อคนที่เป็นสมาชิกของครอบครัวแห่งความเชื่อ
พระเจ้าให้เราเป็นคริสเตียน เพื่อเราจะทำคุณงามความดีกับคนอื่น
มธ5:14-16“ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก นครซึ่งอยู่บนภูเขาจะถูกปิดบังไว้ไม่ได้ 15เมื่อจุดตะเกียงแล้วไม่มีผู้ใดเอาถังครอบไว้ ย่อมตั้งไว้บนเชิงตะเกียง จะได้ส่องสว่างแก่ทุกคนที่อยู่ในบ้านนั้น 16ทำนองเดียวกันพวกท่านจงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาทั้งหลายได้เห็นความดีที่ท่านทำ พวกเขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์
ส่องสว่างแก่คนทั้งปวง หมายถึงการทำคุณงามความดีให้กับสังคม เพื่อนบ้าน คริสตจักร และคนทั้งปวง
คนจะเห็นความสว่างชัดเจน นี่คือ การหว่านในส่ิงตอบสนองพระวิญญาณ
อย่าให้เราเมื่อยล้าในการทำความดี แสดงว่าพี่น้องกาลาเทียกำลังเมื่อยล้าในการทำดี เปาโลจึงเขียนหนุนใจ เพราะถ้าคุณไม่หว่านตอบสนองพระวิญญาณบริสุทธิ์ คุณจะไปหว่านส่ิงที่ตอบสนองเนื้อหนังแทน ดังนั้นอย่าเมื่อยล้าในการทำดีต่อทุกคน
คริสตจักร ในประเทศไทยแปลกๆ ใช้คำว่า “คริสเตียน” เพื่อหลีกเลี่ยงการทำดีทำให้คนในสังคมไทยเข้าใจคริสเตียนผิด คนไทยทั่วไปเวลามีคนมาชวน ทำบุญในความหมายของคนไทยคือ ทำดี เช่น โลงศพไร้ญาติ อาหารสุนัข ขุดบ่อน้ำบาดาล คนทั่วๆไปก็ช่วยทำบุญให้ พอมาเป็นคริสเตียนเราบอกว่า “ไม่ทำบุญ” คนไม่เชื่อเข้าใจว่า คริสเตียนไม่ทำบุญ แสดงว่าไม่ทำความดี ถ้าไม่ทำบุญก็ไม่ต้องบอกว่า เป็นคริสเตียนทำให้พระเจ้าเสียพระเกียรติ
คริสเตียนทำดีได้ แต่ไม่ได้ทำบุญในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเรื่องวิญญาณ คริสเตียนยินดีร่วมมือกับเด็กกำพร้า สุนัขจรจัด ศพไม่มีญาติ เพื่อแก้ไขปัญหา บรรเทาความทุกข์หรือเพื่อให้ถวายเกียรติแด่พระเจ้า พระเยซูยกย่องเรื่องช่วยคนเป็นเรื่องสำคัญสูงสุดของการเป็นคริสเตียน วันสุดท้ายจะพิพากษาในเรื่องการทำดี ไม่ใช่ถามว่านมัสการไหม พูดภาษาแปลกๆไหม
มธ25:31-46 “เมื่อบุตรมนุษย์เสด็จมาด้วยพระรัศมีพร้อมกับทูตสวรรค์ทั้งหมด แล้วพระองค์จะประทับบนพระที่นั่งอันรุ่งโรจน์ของพระองค์ 32ประชาชาติทั้งหมดจะมาประชุมกันเฉพาะพระพักตร์พระองค์ และพระองค์จะทรงแยกพวกเขาออกจากกัน เหมือนผู้เลี้ยงแกะแยกแกะออกจากแพะ 33พระองค์จะทรงจัดให้ฝูงแกะอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ และฝูงแพะอยู่เบื้องซ้าย 34ขณะนั้น พระมหากษัตริย์จะตรัสกับพวกผู้ที่อยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ว่า ‘ท่านทั้งหลายที่ได้รับพรจากพระบิดาของเรา จงมารับเอาราชอาณาจักรซึ่งเตรียมไว้สำหรับท่านทั้งหลายตั้งแต่แรกสร้างโลก 35เพราะว่าเมื่อเราหิว พวกท่านก็จัดหาให้เรากิน เรากระหายน้ำ ท่านก็ให้เราดื่ม เราเป็นแขกแปลกหน้า พวกท่านก็ต้อนรับเรา 36เราเปลือยกายพวกท่านก็ให้เสื้อผ้าเรานุ่งห่ม เมื่อเราเจ็บป่วยท่านก็มาดูแลเรา เมื่อเราอยู่ในคุก พวกท่านก็มาเยี่ยมเรา’ 37เวลานั้นบรรดาคนชอบธรรมจะกราบทูลว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า ที่พวกข้าพระองค์เห็นพระองค์ทรงหิวและจัดให้เสวยหรือทรงกระหายน้ำ และจัดมาถวายนั้นตั้งแต่เมื่อไร? 38ที่พวกข้าพระองค์เห็นพระองค์ทรงเป็นแขกแปลกหน้าและได้ต้อนรับไว้ หรือเปลือยพระกายและสวมฉลองพระองค์ให้นั้นตั้งแต่เมื่อไร? 39ที่ข้าพระองค์เห็นพระองค์ประชวรหรือทรงถูกจำคุก และมาเฝ้าพระองค์นั้นตั้งแต่เมื่อไร?’ 40แล้วพระมหากษัตริย์จะตรัสตอบว่า ‘เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า ซึ่งพวกท่านได้ทำกับคนใดคนหนึ่งที่เล็กน้อยที่สุดในพี่น้องของเรานี้ ก็เหมือนทำกับเราด้วย’ 41แล้วพระองค์จะตรัสกับพวกผู้ที่อยู่เบื้องซ้ายพระหัตถ์ของพระองค์ว่า ‘พวกท่านผู้ถูกแช่งสาปจงถอยไปจากเราและเข้าไปอยู่ในไฟที่ไหม้อยู่เป็นนิตย์ ซึ่งเตรียมไว้สำหรับมารร้ายและบริวารของมัน 42เพราะว่าเมื่อเราหิว ท่านก็ไม่ได้ให้เรากิน เรากระหายน้ำ พวกท่านก็ไม่ได้ให้เราดื่ม 43เราเป็นแขกแปลกหน้า พวกท่านก็ไม่ได้ต้อนรับเราไว้ เราเปลือยกาย ท่านก็ไม่ได้ให้เสื้อผ้าเรานุ่งห่ม เราเจ็บป่วยและต้องถูกจำคุก พวกท่านก็ไม่ได้เยี่ยมเรา’ 44แล้วพวกเขาจะทูลว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า ที่พวกข้าพระองค์เห็นพระองค์ทรงหิว หรือทรงกระหายน้ำ ทรงเป็นแขกแปลกหน้า หรือทรงเปลือยพระกาย ประชวรหรือทรงถูกจำอยู่ในคุก และพวกข้าพระองค์ไม่ได้ปรนนิบัติพระองค์นั้นตั้งแต่เมื่อไร?’ 45เวลานั้นพระองค์จะตรัสตอบว่า ‘เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า การที่พวกท่านไม่ได้ทำกับผู้เล็กน้อยที่สุดสักคนหนึ่งในพวกนี้ ก็เหมือนไม่ได้ทำกับเราด้วย’ 46และคนเหล่านี้จะต้องออกไปรับโทษอยู่เป็นนิตย์ แต่บรรดาคนชอบธรรมจะเข้าสู่ชีวิตนิรันดร์
ชัดเจนไหมสำหรับกท6:7-8 หว่านอะไรเก็บเกี่ยวอย่างนั้น อย่าเมื่อยล้าในการทำดี หว่านเนื้อหนังเก็บเกี่ยวเนื้อหนัง หว่านวิญญาณเก็บเกี่ยวฝ่ายวิญญาณ ไม่ใช่หมายความว่าทำพิธีกรรมคริสเตียน ไม่มีอิทธิพลต่อสังคมเลย แต่หมายถึง การทำดีต่อคนอื่นไหม พระเยซู จะไม่ถามว่ามานมัสการเป็นประจำไหม แต่ถามว่าเอาน้ำให้คนอื่นดื่มหรือไม่ นั่นต่างหากที่เกี่ยวข้องกับการเป็นคริสเตียน รีบกลับใจใหม่เลย หว่าน ทำดี ขอให้สังคมสะเทือนด้วยความดีของคริสเตียน เพราะเป็นตัวแทนของพระเจ้า เขาจะสรรเสริญพระเจ้า เราต้องตระหนักในเนื้อความนี้ที่มีรายละเอียดการทำความดีที่ชัดเจน
ข้อ37 เป็นความคาดหวังจากพระเจ้าที่จะเห็นคนชอบธรรมทำแบบนั้น เล็งถึง ชื่อที่เป็นพระพรสำหรับคริสตจักร 3 ประการ
ข้อ 34 พวกที่อยู่ด้านขวาพวกที่ได้รับพร ได้รับอณาจักร ได้รับความชอบธรรม
คุณไม่ต้องกลัวว่าพระเจ้าจะไม่อวยพร เราชอบเตือนพระเจ้าตลอดให้อวยพรเราตลอดกลัวว่าพระเจ้าจะลืม แท้จริงพระเจ้ารู้เวลาที่จะอวยพร พระองค์เป็นพระเจ้าแห่งการอวยพรเราตลอด ถ้าไม่อวยพรเราพระองค์ไม่รู้จะไปทำอะไร เพราะ การที่พระเจ้าให้พระเยซูมาสิ้นพระชนม์ ก็เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้เรารับพระพร อย่างเต็มที่ เพื่อให้เราจะเป็นพรกับผู้อื่นเต็มที่ ทั้งชุมชน สังคม และเพื่อนบ้าน
ข้อ 35-36 พระเยซูให้หลักฐานเกณฑ์การตัดสินของผู้ที่สมควรจะได้รับพร นี่เป็นเกณฑ์คุณภาพ ทำให้พระองค์มั่นใจว่าไม่ได้ให้พรผิดคน ต้องมีลักษณะชีวิตของคนชอบธรรม คริสตจักรต้องเรียนรู้จักการดำเนินชีวิตตามน้ำพระทัยของพระคริสต์
ในแต่ละวันเราเกี่ยวข้องกับคนเล็กน้อยด้อยโอกาสรอบตัวเราในสังคม หิวกระหายให้กิน ขัดสนแปลกหน้าช่วยอุปการะต้อนรับ ป่วยดูแลเอาใจใส่ ติดคุกให้ความไว้ใจให้ความหวังมีอนาคต คนคุกไม่กล้าบอกใครเวลาไปสมัครงาน
หว่านให้กับผู้เล็กน้อยที่เดือดร้อน พระเยซูให้ความสำคัญกับคุณค่าของคนที่ต่ำต้อยในสังคม สังคมรังเกียจ คนขี้คุก คนป่วยเรื้อรังลูกหลานยังเบื่อเลย คนชรา คนติดคุก ขอให้เราเข้าใจพระลักษณะของพระคริสต์
พระเยซูอยู่ที่ไหนคนเดือดร้อนอยู่ที่นั่นตลอด ไม่มีคนปกติเลย มีแต่คนตาบอด คนผีเข้า คนเป็นโรคเรื้อน พระเยซูให้ความสำคัญกับคนต่ำต้อยที่เดือนร้อน อย่าให้เรารู้สึกเหมือนค่านิยมของสังคม ที่ไม่เห็นคุณค่าคน สิ่งที่พระเยซูสอน คือ บทบาทของผู้ชอบธรรม ไม่ใช่แค่ไม่ทำบาป แต่คนชอบธรรมเป็นคนทำดี แล้วห้ามเมื่อยล้า เพราะบางคนที่เราทำดีด้วยเขาไม่รู้จักบุญคุณอย่างที่เราคาดหวัง เขาไม่เห็นความดีของเรา แต่พระเจ้าให้เราช่วยเขาให้บรรเทาให้เขาขอบคุณพระเจ้า สรรเสริญพระเจ้า ไม่ใช่ขอบคุณเรา หรือมาสรรเสริญเรา
เรื่องนี้เป็นหลักฐาน เป็นหลักเกณฑ์ในการพิพากษาของพระเจ้า จากเรื่องนี้ ประยุกต์ใช้ หว่านอย่างไรไม่หยุดที่จะหว่าน
ประการที่ 1 เป็นเรื่องที่ทุกคนทำได้
เพราะไม่ต้องใช้วุฒิการศึกษาสูง ในการให้อาหารคนหิว ให้น้ำกับคนกระหายไม่ต้องใช้วุฒิการศึกษา ไม่ต้องจบโรงเรียนพระคัมภีร์ ไม่ต้องใช้ความสามารถสูง ไม่ต้องเก่ง ไม่ต้องใช้งบประมาณสูง เพราะว่ามันเป็นกิจสามัญประจำวันในชีวิตประจำวันของเรา ขอให้ไปทำ นั่งลงพิจารณาเรื่องหว่าน พระเจ้าอยากให้เราทำอะไร คริสตจักรอย่าเอาเงินไปซ่อมแซมอาคาร มากกว่าอภิบาลคน ขอให้ช่วยคนก่อน ให้มองความต้องการความเดือดร้อนของคนก่อน
ประการที่ 2 หัวใจของการช่วยเหลือไม่ใช่เน้นที่ใคร แต่เป็นอะไรที่เดือดร้อน
ข้อ37-40
ไม่ใช่เน้นที่ใคร หรือช่วยใคร ถ้าพระเยซู ติดคุกจะไปเยี่ยมไหม ไปทันที พระเยซู หิวให้กินไหม ให้กิน แบบนี้เน้นที่ใคร แต่ถ้าเป็นคนอื่นหิวคิดดูก่อน พระเยซูไม่ได้สอนให้เราเลือกคนที่จะช่วย
พระคัมภีร์กำลังเน้นที่อะไร คนที่เดือดร้อนกำลังเผชิญสถานการณ์อะไรต่างหาก ใครก็ตามที่เดือดร้อนต้องช่วย
จากประสบการณ์ พอเราช่วยเหลือโดยเน้นที่ใคร ทำให้มีความซับซ้อนในการช่วยเหลือ คำถาม เช่น ใครมีคุณสมบัติเหมาะสมกับการช่วยเหลือ ถ้าใครเดือดร้อนแต่ไม่เข้าคุณสมบัติก็ไม่ช่วย พระเยซูไม่ได้สอนแบบนี้แต่คริสตจักรทำแบบนี้ใช่ไหม
ถ้าคริสตจักรใช้นโยบายกำหนดเพราะงบประมาณไม่พอ ซึ่งก็เป็นเรื่องจริง แต่อย่าให้งบประมาณมาจำกัดการช่วยเหลือ ซึ่งเป็นการขัดกับหลักการพระคัมภีร์ ขอให้ช่วยเหลือคนเดือดร้อนตามน้ำพระทัยจะมีฤทธิ์เดชของพระเจ้า ใช้ความเชื่อเพื่อตอบสนองแก้ไขปัญหาให้คนเดือดร้อนได้ ช่วยตามวิถีของพระเจ้า
ตัวอย่าง คนไม่มีอาหารกิน ขนมปังห้าก้อนเลี้ยงคนห้าพันคนได้ มูลนิธิต่างๆมีงบประมาณสูง เมื่อทำดีคนก็ไม่ได้มาสรรเสริญพระเจ้าหรอก
หลังจากนี้เราจะดำเนินชีวิตด้วยฤทธิ์เดชไหม พระเจ้า ไม่ได้ให้เราทำเท่ากับความสามารถหรือต่ำกว่า แต่ความรับผิดชอบที่พระเจ้าให้ล้วนสูงมากกว่าความสามารถของพวกเขาทั้งสิ้น โมเสสให้พาคนจากอียิปต์ตอนแก่ โมเสสบอกว่าพูดกับคนไม่เป็นแล้วพูดเป็นกับแกะ ถ้าให้ไปพูดกับฟาโรห์เกินความสามารถจริงๆ แต่โมเสสก็พบความสำเร็จ เพราะพระเจ้าช่วยด้วยฤทธิ์เดช มันจะเกิดขึ้นกับเราได้ด้วย เพราะพระคัมภีร์บันทึกไว้เพื่อให้เรารู้
กิเดโอน พระเจ้าให้คน300 คนไปรบกับคนมีเดียนเป็นแสน การรบนี้เกิน ความสามารถแต่ก็สำเร็จได้ แล้วเราทำอะไร
ดาวิดเจอโกลิอัทเก่งเชี่ยวชาญในการรบ แม้ซาอูลยังกลัว แต่ดาวิดไม่กลัวเพราะโกลิอัทไม่ได้เข้าสุหนัต มันไม่แตกต่างจากสิงห์โต เพราะมันไม่มีพระเจ้า ดาวิดชนะเพราะมีพระเจ้า สาวกเลี้ยงคนห้าพันคน ใช้เงินเท่าไหร่ สองร้อยยังไม่พอ พระเยซูใช้ขนมปังห้าก้อนปลากสองตัวเลี้ยงคนได้ ทำงานพระเจ้าไม่ต้องคำนึงถึงงบประมาณ แต่ให้ดูที่ความเดือดร้อนของคน เพื่อให้พระเจ้าได้เกียรติแน่นอน คุณจะเป็นคนแรกที่ให้เกียรติพระเจ้าเพราะรู้ว่าคุณทำไม่ได้
ขอให้เราตื่นตัวเรื่องการหว่าน พระเจ้าให้งานเกินความสามารถ เพื่อเราจะสรรเสริญและขอบคุณพระเจ้า ถ้าพระเจ้าให้งานเราต่ำกว่าความสามารถของเราเราจะไม่สรรเสริญและขอบพระคุณพระเจ้า
งานที่พระเจ้า ให้ล้วนแล้วแต่เกินงบประมาณ เกินจำนวนคนที่มี แล้วงานนั้นสำเร็จ พระเจ้าได้รับพระเกียรติอย่างแน่นอน